เรียน สาธุชนพุทธบริษัททุกท่าน
หากท่านใดมีความประสงค์อยากได้หนังสือเจ็ดธรรมราตรีไว้อ่าน ติดต่อเข้ามาได้ ยินดีมอบให้ท่านละ ๑ เล่ม ค่าจัดส่งฟรีทุกประการ
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
19. ปกหนังสือเจ็ดธรรมราตรี
ปกหน้าหนังสือ เจ็ดธรรมราตรี
คำอธิบายปกหน้า
ชื่อหนังสือ เจ็ดธรรมราตรี หมายถึง ธรรมะที่เกิดขึ้นใน ๗ ราตรี ระหว่างที่ปฎิบัติธรรมในวัดป่าหนองไผ่
พื้นสีดำ หมายถึง อวิชา ความดำมืดของกิเลสที่ปกคลุมในจิตใจมนุษย์
เทียนหนึ่งแท่งเปล่งประกาย หมายถึง ผลจากการปฎิบัติธรรมเปรียบได้ดั่งแสงสว่างแห่งปัญญาที่เกิดขึ้นมาระหว่างปฏิบัติธรรม ถึงแม้จะน้อยนิดเหมือนแสงเทียนก็ยังดีกว่าไม่ได้ลงมือปฎิบัติเลย เปลวเทียนเล่มน้อยอยู่ใกล้มือ ยังให้แสงสว่างกว่าดวงดาวที่ปลายฟากฟ้าในคืนแรม
ดอกลีลาวดี หมายถึง จิตที่เบิกบานด้วยปัญญาย่อมขาวบริสุทธิ์สวยงาม
ปกหลังหลังสือเจ็ดธรรมราตรี
พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
เมตตาสั่งสอนให้โอวาทระหว่างปฏิบัติธรรม ในวัดป่าหนองไผ่
18.ปัจฉิมบท
ปัจฉิมบท
ในชีวิตของมนุษย์เราที่เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง เคยมีใครได้ถามตนเองและพิจารณาตนเองบ้างไหมว่า เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อหวังสิ่งใด สำหรับทัศนะของผู้เขียน มนุษย์เราเกิดมาเพื่อการปฎิบัติธรรมและทำประโยชน์ของตนเองให้สมบูรณ์ตามฐานานุรูปแล้วให้เผื่อแผ่ประโยชน์นั้นเพื่อผู้อื่นบ้างตามกำลังความสามารถของตน ในพระไตรปิฎกได้พูดถึงการปฎิบัติธรรม การทำดีด้วยกาย วาจา ใจ การละกิเลส ทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด การกล่าวอ้างว่า ไม่มีเวลาในการปฎิบัติธรรม จึงเป็นการกล่าวอ้างของผู้ขาดสติ ขาดความเคารพและไม่เข้าใจซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา การปฎิบัติธรรมนั้นย่อมมีอยู่ทุกเวลา ทุกขณะจิต และทุกลมหายใจ ฆราวาสญาติโยม อุบาสก อุบาสิกานี้แหละควรต้องฝึกปฎิบัติ สมถกรรมฐานและวิปัสนากรรมฐานให้มาก เพราะเรามีข้อทดสอบ เรามีเรื่องมากระทบจิตใจตลอดเวลา ทั้งเรื่องหน้าที่ การงาน ครอบครัว สังคมและความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตที่มีศิลปะดีงาม คือชีวิตที่ดำรงด้วยการปฎิบัติธรรมนั่นเอง ใครยิ่งทำให้มากมายเท่าใด ละเอียดลึกซึ้งสุขุมแนบแน่นมั่นคงในจิตมากเท่าใด ผู้นั้นยิ่งจะมีความสุขมากยิ่งขึ้นไป จนสุดท้ายเป็นความสุขขั้นวิมุติไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
พระพุทธองค์สอนให้เรารู้จักให้ทานเป็นการสร้างทานบารมีอันเป็นข้อแรกในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ การปฎิบัติธรรมแล้ว นำมาบอกกล่าวเป็นการให้ทานธรรมะ การบอกธรรมะ การเผยแผ่ธรรมะ เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ปฎิบัติเป็นตัวอย่างของชาวพุทธ ในพระวินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค เรื่อง เวรัญชพราหมณ์ พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เวรัญชพราหมณ์ทราบข่าวว่าพระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูปเสด็จมา และพระกิตติศัพท์อันงามของพระองค์นั้น ขจรไปแล้วว่า พระผู้มีพระภาคองค์นั้น ทรงเป็นพระอรหันต์ ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงบรรลุวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแม้ ทรงทราบโลก ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า ทรงเป็นศาสดาของเทพและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงเป็นพุทธะ ทรงเป็นพระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทพ และมนุษย์ ให้รู้ ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์ อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายปานนั้น เป็นความดี
แม้กิตติศัพท์ชื่อเสียงของพระพุทธองค์ขจรไปไกลขนาดนั้น เวรัญชพราหมณ์เมื่อไปพุทธสำนักก็ยังกล่าวตู่พระพุทธเจ้าต่างๆ นานา เช่นไม่รู้จักรับไหว้ ไม่ลุกมาต้อนรับพราหมณ์ ปกติไม่ใยดี ไม่มีสมบัติ การไม่กระทำ ความขาดสูญ การกำจัด การเผาผลาญ การไม่เกิด ความน่ารังเกียจ พระพุทธองค์ทรงตอบแก้ไขข้อกล่าวหาด้วยธรรมะทั้งเรื่องการไม่กระทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ตลอดถึงการสรุปเรื่อง รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ และเล่าถึงมรรคผลของการปฎิบัติที่พระองค์สำเร็จแล้วตั้งแต่ฌาน ๔ และวิชชา ๓ ทรงอธิบายปฐมฌาน ว่า เรานั้นแล สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม ได้บรรลุปฐมฌาน มีวิตก
มีวิจาร มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่วิเวกอยู่.
ทรงอธิบายทุติยฌาน ว่า เราได้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตก วิจาร สงบไป มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่สมาธิอยู่.
ทรงอธิบายตติยฌาน ว่า เรามีอุเบกขาอยู่ มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
ได้บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสุขอยู่ ดังนี้ อยู่.
ทรงอธิบายจตุตถฌาน ว่า เราได้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ มี อุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.
จากนั้นพระพุทธองค์ได้อธิบายว่าเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ อันเป็นญาณในการระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก ได้น้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ อันเป็นญาณเครื่องรู้จุติและอุปบัติ
ของสัตว์ทั้งหลาย ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ อันเป็นญาณตามเป็นจริงเกี่ยวกับอริยสัจจ์ ๔ และอาสวะกิเลส ว่า นี้คือทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เหล่านี้ อาสวะ นี้เหตุให้เกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้ หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ได้มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลสส่งจิตไปแล้วอยู่
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสอย่างนี้แล้ว เวรัญชพราหมณ์ได้ทูลกล่าวคำยกย่องสรรเสริญพระพุทธองค์ว่า เป็นผู้เจริญที่สุด เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งไพเราะนัก ประกาศธรรมโดย อเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ และขอนับถือพระพุทธองค์ พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ และขอเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต และอาราธนาพระพุทธองค์ให้อยู่จำพรรษาที่เมืองเวรัญชา
มนุษย์เกิดมาในโลกนี้มีความเท่าเทียมกันอยู่อย่างน้อย ๒ อย่าง คือ กรรม และ เวลา พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ดูกรมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ตนเป็นผู้รับมรดกแห่งกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมนั่นเองย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวบ้าง ให้ดีบ้าง แสดงให้เห็นว่า บุคคลสั่งสมกรรมอย่างใดย่อมได้รับผลแห่งกรรมอย่างนั้น ประกอบกรรมอันนำไปสู่ความเป็นอย่างใด ย่อมได้รับความเป็นอย่างนั้น คือ ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว ส่วนเวลานั้น ใช้กำหนดลงไปสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใต้ฟ้าล้วนเกี่ยวพันกับเวลา สิ่งที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ควรใส่ใจให้มากยิ่งขึ้นไปได้แก่ เวลาแห่งการทำคุณงามความดีและเวลาที่รู้จะละเว้นความชั่วทั้งมวล
ในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวปริศนาธรรมไว้ว่า "มียักษ์อยู่ตนหนึ่ง มีตาอยู่ 2 ข้าง ข้างหนึ่งสว่าง อีกข้างหนึ่งริบหรี่ มีปากอยู่ 12 ปาก มีฟันไม่มาก แต่ละปากมี 30 ซี่ กินสัตว์ทั่วทั่งปฐพี ยักษ์ตนนี้คือใคร?" คำเฉลยนั้นกล่าวว่า ยักษ์ตนนี้ก็คือพระกาล หมายถึงกาลเวลานั่นเอง ตา 2 ตา หมายถึงเวลากลางวันและกลางคืน ปาก 12 ปาก หมายถึงในรอบ 1 ปี มี 12 เดือน และฟัน 30 ซี่ หมายถึงแต่ละเดือนมี 30 วัน กาลเวลายิ่งผ่านล่วงเลยไป ยิ่งกลืนกินชีวิตมนุษย์ และสัตว์พร้อมทั้งตัวมันเองด้วย
ครั้งหนึ่งนานมาแล้วผู้เขียนได้ไปกราบฟังธรรมกับหลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดภูจ้อก้อ อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ท่านได้กล่าวว่า กาลเวลากลืนกินทุกสรรพสิ่ง แม้แต่เทวดา มารพรหมก็ไม่เว้น พระพุทธองค์ทรงแนะให้พุทธบริษัทอุบาสก อุบาสิกา พิจารณาทุกวันว่า เรามีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความเกิดแก่ เจ็บ ตายไปได้ เมื่อมรณะกาลมาถึง เราจะต้องละทิ้งทุกสรรพสิ่งที่เรายึดมั่น ถือมั่นว่าเป็นของเราไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้อย่างยากลำบากลาภ ยศ สรรเสริญ ศักดิ์ศรี ฐานะ ความเป็นอยู่ ความหล่อ ความสวย ลูกผัวตัวตนเมียรัก ต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ก็ตาม จะมีก็แต่ผลของกรรมเท่านั้นที่ติดตามฝังไว้ในสภาวะจิตและไปก่อกำเนิดในภพภูมิใหม่ตามผลกรรมของตนที่สร้างมา ดังนั้น จึงควรทำความดีให้มาก
การบันทึกการปฎิบัติธรรมและผลของการปฎิบัติธรรม ตลอดทั้งแนวทางในการแก้ไขในช่วง ๗ ราตรีที่วัดป่าหนองไผ่ รวมทั้งการฟังโอวาทธรรมจากหลวงพ่อพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม ผสมผสานกับการทำงานทางโลกโดยปลีกเวลา แบ่งเวลา หรือผสานเวลาให้ลงตัวตามความเหมาะสมของผู้เขียนคงจะพอเป็นแนวทางในการทำความดีทาง กาย วาจา ใจ ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมากสำหรับผู้ที่บำเพ็ญภาวนาอย่างเคร่งครัด แต่ก็อาจเป็นตัวอย่างให้นำไปปฎิบัติธรรมตามกำลังทางสายกลางแห่งตน ผู้เขียนกราบขอขมาอโหสิกรรมต่อพระพุทธองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ อริยบุคคล ครูบาอาจารย์ทุกท่าน หากมีส่วนหนึ่งส่วนใดที่ผิดพลาดพลั้งไปในผลของการปฏิบัติและแนวทางแก้ไข ขอได้โปรดอดโทษและงดโทษนั้นและพร้อมที่จะรับฟังคำชี้แนะการปฎิบัติจากทุกท่านด้วย
กุศลผลบุญทุกประการที่เกิดขึ้นจากหนังสือนี้ ขอถวายแด่หลวงพ่อพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม วัดป่าหนองไผ่ ตลอดทั้งพระสงฆ์ทุกพระองค์ในพระพุทธศาสนา อุบาสก อุบาสิกาทุกท่านที่ช่วยเหลือค้ำจุนเผยแผ่พระพุทธศาสนา คุณพ่อ ตงเค่งเซ็ง คุณแม่ราศี ตงศิริ ญาติพี่น้องผู้มีพระคุณทุกท่าน ตลอดจนทุกท่านพร้อมครอบครัวดังรายนามท้ายเล่มที่ได้สละทรัพย์ร่วมในการจัดพิมพ์และผู้อ่านทุกท่านที่ได้รับหนังสือนี้ ขอจงเป็นผู้ที่เจริญในปัญญาบารมี มีดวงตาเห็นธรรม ได้มีโอกาสปฎิบัติธรรม และบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในชาตินี้ด้วยเถิด
วรวิทย์ ตงศิริ
วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๒
ในชีวิตของมนุษย์เราที่เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง เคยมีใครได้ถามตนเองและพิจารณาตนเองบ้างไหมว่า เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อหวังสิ่งใด สำหรับทัศนะของผู้เขียน มนุษย์เราเกิดมาเพื่อการปฎิบัติธรรมและทำประโยชน์ของตนเองให้สมบูรณ์ตามฐานานุรูปแล้วให้เผื่อแผ่ประโยชน์นั้นเพื่อผู้อื่นบ้างตามกำลังความสามารถของตน ในพระไตรปิฎกได้พูดถึงการปฎิบัติธรรม การทำดีด้วยกาย วาจา ใจ การละกิเลส ทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด การกล่าวอ้างว่า ไม่มีเวลาในการปฎิบัติธรรม จึงเป็นการกล่าวอ้างของผู้ขาดสติ ขาดความเคารพและไม่เข้าใจซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา การปฎิบัติธรรมนั้นย่อมมีอยู่ทุกเวลา ทุกขณะจิต และทุกลมหายใจ ฆราวาสญาติโยม อุบาสก อุบาสิกานี้แหละควรต้องฝึกปฎิบัติ สมถกรรมฐานและวิปัสนากรรมฐานให้มาก เพราะเรามีข้อทดสอบ เรามีเรื่องมากระทบจิตใจตลอดเวลา ทั้งเรื่องหน้าที่ การงาน ครอบครัว สังคมและความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตที่มีศิลปะดีงาม คือชีวิตที่ดำรงด้วยการปฎิบัติธรรมนั่นเอง ใครยิ่งทำให้มากมายเท่าใด ละเอียดลึกซึ้งสุขุมแนบแน่นมั่นคงในจิตมากเท่าใด ผู้นั้นยิ่งจะมีความสุขมากยิ่งขึ้นไป จนสุดท้ายเป็นความสุขขั้นวิมุติไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
พระพุทธองค์สอนให้เรารู้จักให้ทานเป็นการสร้างทานบารมีอันเป็นข้อแรกในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ การปฎิบัติธรรมแล้ว นำมาบอกกล่าวเป็นการให้ทานธรรมะ การบอกธรรมะ การเผยแผ่ธรรมะ เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ปฎิบัติเป็นตัวอย่างของชาวพุทธ ในพระวินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค เรื่อง เวรัญชพราหมณ์ พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เวรัญชพราหมณ์ทราบข่าวว่าพระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูปเสด็จมา และพระกิตติศัพท์อันงามของพระองค์นั้น ขจรไปแล้วว่า พระผู้มีพระภาคองค์นั้น ทรงเป็นพระอรหันต์ ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงบรรลุวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแม้ ทรงทราบโลก ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า ทรงเป็นศาสดาของเทพและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงเป็นพุทธะ ทรงเป็นพระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทพ และมนุษย์ ให้รู้ ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์ อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายปานนั้น เป็นความดี
แม้กิตติศัพท์ชื่อเสียงของพระพุทธองค์ขจรไปไกลขนาดนั้น เวรัญชพราหมณ์เมื่อไปพุทธสำนักก็ยังกล่าวตู่พระพุทธเจ้าต่างๆ นานา เช่นไม่รู้จักรับไหว้ ไม่ลุกมาต้อนรับพราหมณ์ ปกติไม่ใยดี ไม่มีสมบัติ การไม่กระทำ ความขาดสูญ การกำจัด การเผาผลาญ การไม่เกิด ความน่ารังเกียจ พระพุทธองค์ทรงตอบแก้ไขข้อกล่าวหาด้วยธรรมะทั้งเรื่องการไม่กระทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ตลอดถึงการสรุปเรื่อง รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ และเล่าถึงมรรคผลของการปฎิบัติที่พระองค์สำเร็จแล้วตั้งแต่ฌาน ๔ และวิชชา ๓ ทรงอธิบายปฐมฌาน ว่า เรานั้นแล สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม ได้บรรลุปฐมฌาน มีวิตก
มีวิจาร มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่วิเวกอยู่.
ทรงอธิบายทุติยฌาน ว่า เราได้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตก วิจาร สงบไป มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่สมาธิอยู่.
ทรงอธิบายตติยฌาน ว่า เรามีอุเบกขาอยู่ มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
ได้บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสุขอยู่ ดังนี้ อยู่.
ทรงอธิบายจตุตถฌาน ว่า เราได้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ มี อุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.
จากนั้นพระพุทธองค์ได้อธิบายว่าเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ อันเป็นญาณในการระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก ได้น้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ อันเป็นญาณเครื่องรู้จุติและอุปบัติ
ของสัตว์ทั้งหลาย ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ อันเป็นญาณตามเป็นจริงเกี่ยวกับอริยสัจจ์ ๔ และอาสวะกิเลส ว่า นี้คือทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เหล่านี้ อาสวะ นี้เหตุให้เกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้ หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ได้มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลสส่งจิตไปแล้วอยู่
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสอย่างนี้แล้ว เวรัญชพราหมณ์ได้ทูลกล่าวคำยกย่องสรรเสริญพระพุทธองค์ว่า เป็นผู้เจริญที่สุด เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งไพเราะนัก ประกาศธรรมโดย อเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ และขอนับถือพระพุทธองค์ พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ และขอเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต และอาราธนาพระพุทธองค์ให้อยู่จำพรรษาที่เมืองเวรัญชา
มนุษย์เกิดมาในโลกนี้มีความเท่าเทียมกันอยู่อย่างน้อย ๒ อย่าง คือ กรรม และ เวลา พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ดูกรมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ตนเป็นผู้รับมรดกแห่งกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมนั่นเองย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวบ้าง ให้ดีบ้าง แสดงให้เห็นว่า บุคคลสั่งสมกรรมอย่างใดย่อมได้รับผลแห่งกรรมอย่างนั้น ประกอบกรรมอันนำไปสู่ความเป็นอย่างใด ย่อมได้รับความเป็นอย่างนั้น คือ ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว ส่วนเวลานั้น ใช้กำหนดลงไปสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใต้ฟ้าล้วนเกี่ยวพันกับเวลา สิ่งที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ควรใส่ใจให้มากยิ่งขึ้นไปได้แก่ เวลาแห่งการทำคุณงามความดีและเวลาที่รู้จะละเว้นความชั่วทั้งมวล
ในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวปริศนาธรรมไว้ว่า "มียักษ์อยู่ตนหนึ่ง มีตาอยู่ 2 ข้าง ข้างหนึ่งสว่าง อีกข้างหนึ่งริบหรี่ มีปากอยู่ 12 ปาก มีฟันไม่มาก แต่ละปากมี 30 ซี่ กินสัตว์ทั่วทั่งปฐพี ยักษ์ตนนี้คือใคร?" คำเฉลยนั้นกล่าวว่า ยักษ์ตนนี้ก็คือพระกาล หมายถึงกาลเวลานั่นเอง ตา 2 ตา หมายถึงเวลากลางวันและกลางคืน ปาก 12 ปาก หมายถึงในรอบ 1 ปี มี 12 เดือน และฟัน 30 ซี่ หมายถึงแต่ละเดือนมี 30 วัน กาลเวลายิ่งผ่านล่วงเลยไป ยิ่งกลืนกินชีวิตมนุษย์ และสัตว์พร้อมทั้งตัวมันเองด้วย
ครั้งหนึ่งนานมาแล้วผู้เขียนได้ไปกราบฟังธรรมกับหลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดภูจ้อก้อ อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ท่านได้กล่าวว่า กาลเวลากลืนกินทุกสรรพสิ่ง แม้แต่เทวดา มารพรหมก็ไม่เว้น พระพุทธองค์ทรงแนะให้พุทธบริษัทอุบาสก อุบาสิกา พิจารณาทุกวันว่า เรามีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความเกิดแก่ เจ็บ ตายไปได้ เมื่อมรณะกาลมาถึง เราจะต้องละทิ้งทุกสรรพสิ่งที่เรายึดมั่น ถือมั่นว่าเป็นของเราไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้อย่างยากลำบากลาภ ยศ สรรเสริญ ศักดิ์ศรี ฐานะ ความเป็นอยู่ ความหล่อ ความสวย ลูกผัวตัวตนเมียรัก ต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ก็ตาม จะมีก็แต่ผลของกรรมเท่านั้นที่ติดตามฝังไว้ในสภาวะจิตและไปก่อกำเนิดในภพภูมิใหม่ตามผลกรรมของตนที่สร้างมา ดังนั้น จึงควรทำความดีให้มาก
การบันทึกการปฎิบัติธรรมและผลของการปฎิบัติธรรม ตลอดทั้งแนวทางในการแก้ไขในช่วง ๗ ราตรีที่วัดป่าหนองไผ่ รวมทั้งการฟังโอวาทธรรมจากหลวงพ่อพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม ผสมผสานกับการทำงานทางโลกโดยปลีกเวลา แบ่งเวลา หรือผสานเวลาให้ลงตัวตามความเหมาะสมของผู้เขียนคงจะพอเป็นแนวทางในการทำความดีทาง กาย วาจา ใจ ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมากสำหรับผู้ที่บำเพ็ญภาวนาอย่างเคร่งครัด แต่ก็อาจเป็นตัวอย่างให้นำไปปฎิบัติธรรมตามกำลังทางสายกลางแห่งตน ผู้เขียนกราบขอขมาอโหสิกรรมต่อพระพุทธองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ อริยบุคคล ครูบาอาจารย์ทุกท่าน หากมีส่วนหนึ่งส่วนใดที่ผิดพลาดพลั้งไปในผลของการปฏิบัติและแนวทางแก้ไข ขอได้โปรดอดโทษและงดโทษนั้นและพร้อมที่จะรับฟังคำชี้แนะการปฎิบัติจากทุกท่านด้วย
กุศลผลบุญทุกประการที่เกิดขึ้นจากหนังสือนี้ ขอถวายแด่หลวงพ่อพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม วัดป่าหนองไผ่ ตลอดทั้งพระสงฆ์ทุกพระองค์ในพระพุทธศาสนา อุบาสก อุบาสิกาทุกท่านที่ช่วยเหลือค้ำจุนเผยแผ่พระพุทธศาสนา คุณพ่อ ตงเค่งเซ็ง คุณแม่ราศี ตงศิริ ญาติพี่น้องผู้มีพระคุณทุกท่าน ตลอดจนทุกท่านพร้อมครอบครัวดังรายนามท้ายเล่มที่ได้สละทรัพย์ร่วมในการจัดพิมพ์และผู้อ่านทุกท่านที่ได้รับหนังสือนี้ ขอจงเป็นผู้ที่เจริญในปัญญาบารมี มีดวงตาเห็นธรรม ได้มีโอกาสปฎิบัติธรรม และบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในชาตินี้ด้วยเถิด
วรวิทย์ ตงศิริ
วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๒
17.วันที่เจ็ดแห่งการปฏิบัติธรรม...วันอาทิตย์ ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑...คูหาสะรัง
วันที่เจ็ดแห่งการปฏิบัติธรรม
วันอาทิตย์ ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
คูหาสะรัง
เวลาตี ๐๒.๔๕ น. ตื่นมากลางดึกอากาศหนาวเย็นคาดว่าประมาณ ๑๐ – ๑๕ องศา ลมราตรีพัดชวนความหนาวมาเป็นเพื่อน ห่มผ้าแล้วชงชาดื่ม ๒ แก้ว เขียนบันทึกข้อมูลไว้
เวลา ๐๓.๐๐ น. นั่งกรรมฐานข้างกองไฟ มีเพื่อนมาเยี่ยมเยือน คือมดอพยพออกจากดุ้นฟืนมาอยู่ใต้เบาะรองนอนฝูงหนึ่ง นั่งเข้าฌานสงบไปไม่รู้ตัวเลย มีอาการเหมือนตอไม้นั่นแหละไม่รับรู้อะไร จึงเรียกว่าเป็นสมาธิหัวหลักหัวตอ ไม่มีปัญญาความรู้อะไร แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ ได้มานั่งในป่านี้ คิดเข้าข้างตนเองว่า ทั้งวัดนับดูฆราวาสญาติโยมแล้วมีไม่เท่าไหร่เลย ยิ่งมานอนกลางป่า อยู่ระหว่างทางเดินจงกรมท่ามกลางอากาศหนาวแบบนี้ เอาต้นไม้ก้อนหินและลมหนาวเป็นเพื่อน ใบไม้เป็นหลังคา ดาวระยิบระยับน้อยใหญ่ต่างแสงไฟคบเพลิงคบไต้ เสียงกระรอก ไก่ป่าดั่งร้องขันกล่อมมาดั่งดนตรีสวรรค์ ถึงจะเป็นสมาธิหัวตอก็ช่างเถิด
หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม ได้เมตตาอธิบายให้ฟังเมื่อคราวที่ไปขอคำแนะนำจากท่านคราวที่ท่านยังไม่มรณะภาพว่า เมื่อเข้าสมาธิไปจนจิตสงบเงียบ ขาดสติเข้าฌานไปก็เหมือนกับเราเอาจิตจมดิ่งลงสู่ความเป็นทิพย์ พอตื่นขึ้นมาจิตมีพลังควรค่าแก่การทำงานแล้ว ให้ยกจิตขึ้นพิจารณาสังขารร่างกายดูให้เป็นปฎิกูล เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม จนจิตเกิดความเบื่อหน่าย คือ นิพพิทา และถอนจากราคะ คือความรัก กลายเป็นวิราคะ ถึงจะหมดแล้วสิ้นแล้ว กลายเป็นวิมุติญาณทัศนะ ตอนจิตเข้าฌาณนั่งสงบเงียบ เรียกว่า คูหาสะรัง จิตเข้าสู่คูหาเถื่อนถ้ำที่พัก เหมือนเข้าไปบรรจุแบตเตอรี่พอเต็มที่เต็มกำลังก็ยกขึ้นใช้งาน ดังนั้น ถึงจะเป็นสมาธิหัวตอก็ไม่เป็นไร ขอยกคำบาลีมาให้อ่านประกอบก็ได้ว่า ลักษณะของจิต นั้น
“ทูรังคะมัง เอกะจะรัง อะสะรีรัง คูหาสะรัง
เย จิตตัง สัญญะ เมสสันติ โมกขันติ มาระพันธะนา
ชนเหล่าใดจักสำรวมจิตที่ไปได้ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง
มีถ้ำคือร่างกายเป็นที่อาศัย ชนเหล่านั้น จะพ้นจากเครื่องผูกของมารได้” (ขุ. ธ. ๒๕/๑๓/๑๙)
ทูรังคะมัง แปลว่า ไปได้ไกล คือ ออกรับอารมณ์ในที่ไกลได้ เช่นนั่งอยู่ที่เมืองไทยใจอาจคิดไปถึงอเมริกา หรือ นอกโลก รวมทั้งอาจไปในอดีตและอนาคตก็ได้
เอกะจะรัง แปลว่า เที่ยวไปดวงเดียว คือ จิตเกิดดับทีละดวง และรับอารมณ์ได้ครั้งละหนึ่งอย่าง
อะสะรีรัง แปลว่า ไม่มีรูปร่าง คือ จิตนี้ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสี ไม่มีสัณฐาน
คูหาสะรัง แปลว่า มีถ้ำคือร่างกายเป็นที่อยู่อาศัย
เวลาตี ๔ ลุกมาเดินจงกรมไปกลับท่ามกลางอากาศหนาวเย็น แม้ใส่เสื้อกันหนาวก็ยังต้องห่มผ้าห่มทับอีกชั้นหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะเย็นหลังมาก เกิดอาการง่วงนอนซึ่งเป็นนิวรณ์อย่างหนึ่งเหมือนกัน (ใครบ่นว่าไม่ง่วงลองมาเดินดูหน่อยก็ได้) จึงต้องใช้วิธีเดินจงกรมแบบเร็ว ๆ และกลั้นลมหายใจไปด้วยตาสว่างเลยคราวนี้ จิตมันขี้ขลาดกลัวตาย หรืออาจเป็นเพราะชาอู่หลงสองแก้วก็ได้
เวลาตี ๕ กว่า ๆ สุมฟืนให้ไฟลุกแล้วต้มน้ำ ระหว่างนั้นนั่งกรรมฐานพิจารณาลมหายใจเข้าออก วับเดียวผู้ชายสองคนหันมามอง คงเป็นเทวดาที่รักษาแถวนี้กระมัง ต้องพิจารณาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่งภาวนาไปจนหกโมงครึ่ง จึงลุกมาเก็บผ้าห่มผ้าผวยไปพับไว้ตรงราวบันไดกุฏิ
พิจารณาดูกองไฟแล้วเห็นเป็นเรื่องน่าคิด เพราะไม้อ่อนแห้งกรอบผุแล้ว พอสุมเข้ากองไฟซักครู่ก็ติดลุกโชน แต่ไม้ที่แกร่งแข็งสุมเข้าตั้งนานก็ไม่ยอมติดไฟเลย คงเปรียบได้กับคนเราหาคนที่มีแก่นได้ยาก พอไฟโหมมาก็มอดไหม้ไป ส่วนคนแก่นแม้ไฟจะกระพือ ลมจะพัดกระหน่ำซ้ำ คนแก่นก็ไม่ยอมมอดไหม้ลุกโชนตาม
ไฟที่พระพุทธองค์สอนชฏิล ๓ พี่น้องที่บูชาไฟ ได้แก่ ไฟคือโทสะ โทสะคิ ไฟคือโมหะ โมหะคิ ไฟคือราคะ ราคะคิ ไฟทั้งสามอย่างนี้ต่างมีการเผาไหม้แตกต่างกันไป รายละเอียดมีมากดูเฉพาะในหน้าปกหนังสือพิมพ์รายวันแต่ละฉบับหรือทุกประเด็นข่าว ทุกคอลัมน์ต่างเต็มไปด้วยกองไฟใหญ่น้อยต่าง ๆ นานา แล้วแต่ใครจะมีปัญญาหาดูเอง มีนิมิตแวบหนึ่งเห็นผู้ชายสองคนอยู่ตรงทางเดินจงกรมหันมาสบตา มีกล่องกระดาษใส่ขวดน้ำ สงสัยเราไม่ได้กรวดน้ำหรือถวายน้ำให้พระสงฆ์กระมัง เทวดาเลยบอกว่าต้องหาน้ำมาดับไฟ (นิมิตนี้อย่าลืมต้องพิจารณาเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ปู่ฤาษีโสตัสตะภิญญา จึงบอกคาถาดับไฟความทุกข์ไว้ให้ท่องบ่น ว่า
โอมพระพุทธ มาดับพระเพลิง โอมพะปะเปิง ทะสะวาหะ
โอมพระธรรม มาดับพระเพลิง โอมพะปะเปิง ทะสะวาหะ
โอมพระสงฆ์ มาดับพระเพลิง โอมพะปะเปิง ทะสะวาหะ
ใครสนใจก็ท่องบ่นเอาไว้ใช้ก่อนนอนหรือก่อนไปทำงานตอนเช้าซัก ๓ - ๙ จบ จะทำให้ธุรกิจการงานเจริญรุ่งเรือง ตนเองก็จะอยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป ยิ่งเข้าสมาธิท่องบ่นยิ่งเห็นผลเร็ว แต่อย่าลืมหมากพลู บุหรี่ น้ำซักแก้ว แค่นี้คงไม่หนักหนาอะไร ขออย่างเดียวอย่าถามหาตัวตนท่าน ไม่มีทางไปหาเจอหรอก ก็อยู่ที่ป่าหิมพานต์โน่นจะไปหาได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าฌานติดต่อ ใครอยากลองก็ท่องบ่นภาวนาคำว่า “โสตัสตะภิญญา” ท่านผู้นี้มีฤทธิ์มาก ลองขอพรท่านดูก็ได้นะ
เวลา ๐๘.๓๐ น.หลังจากทานโกโก้ร้อน ๑ แก้ว เดินจงกรมแบบมหาสติปัฏฐานสูตร ความจริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสติปัฏฐานทั้งนั้นแหละ เพียงแต่จะใช้วิธีการหรือคำเรียกอย่างไรเท่านั้น ที่ดูแล้วเหมือนแตกต่างกัน อยากเปรียบเทียบว่าการเดินทางไปจุดหมายเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเดินทางเหมือนกัน ไปกรุงเทพไม่จำเป็นต้องนั่งเครื่องบินเสมอไปกระมัง เดินไปก็ถึงเหมือนกันอาจช้าหน่อย แต่เห็นรายละเอียดเยอะกว่า หรือจะนั่งรถโดยสาร กลิ้งไป คลานไป ก็ถึงทั้งนั้นอาจช้าเร็วต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจริตและบุญบารมีของแต่ละคนไป ไม่อาจนำตาชั่งหรือไม้บรรทัดมาวัดเปรียบเทียบได้
บางท่านอาจจะเกิดคำถามว่า ปฎิบัติธรรมกรรมฐานอะไรมีหลายแบบหลายอย่างแท้ ทำไมไม่เอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องเรียนชี้แจงเป็นการสร้างความเข้าใจก่อนว่า ปี พ.ศ.๒๕๓๐ ตอนไปเรียนหนังสืออยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาลัยครูและอาชีวศึกษา วิทยาเขตเทเวศร์ กทม. (เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล) มีบุญใหญ่ได้ไปฝึกกรรมฐานกับพระธรรมธีรราชมหามุนี (เจ้าคุณโชดก) วัดมหาธาตุ ๑-๒ ครั้ง ไปวันเสาร์ - อาทิตย์ เลยจำได้ และเป็นลูกศิษย์ท่านด้วย ตอนหลังมาทำงานเป็นครูก็ไปฝึกกรรมฐานแนวทางนี้แหละ ตอนบรรจุครูใหม่ก็ไปฝึกกรรมฐานแนวทางนี้กับท่านพระครูเลียบ วัดศรีจำปา บ้านซ่ง เป็นรองเจ้าคณะอำเภอนาแกสมัยนั้น ท่านพระครูสั่งให้ไปนั่งกรรมฐานในป่าช้าและพาไปฝึกธุดงค์แบบค้างแรมในป่าเทือกเขาภูพาน อำเภอนาแกเลย จึงอย่าแปลกใจถ้าหากจะมีการฝึกกรรมฐานหลายวิธี เพราะเป็นลูกศิษย์หลายสำนักนั่นเอง แต่ถ้าท่านใดจะฝึกเอาแบบอย่างเดียวก็ไม่ได้ผิดอะไร หลวงปู่พระอาจารย์บุญมี ปิยธรรมโม วัดถ้ำโพธิ์ทอง บ้านแก้ง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ที่ได้มีบุญเป็นลูกศิษย์สะพายย่ามให้ท่านตั้งแต่เรียนชั้นประถมปีที่ ๑ ได้บอกแนวทางไว้ว่า การที่พระอุปปัฐฌาบอกกรรมฐานให้ตอนบวชว่า เกศา โลมา นักขา ทันตา ตะโจ นั้น ไม่จำเป็นต้องพิจารณาทุกส่วนหรอก ให้เอาอย่างเดียว เช่น เกศา ก็นั่งภาวนาว่าเกศาตลอดไป อัฎฐิก็ท่องอัฎฐิตลอดไป จนกว่าจะจิตสงบ เพราะอย่างใดอย่างหนึ่งก็ใช้แทนกันได้ แล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล
เดินจงกรมตอนแรกวันนี้ท่องพุทโธ กลับไปกลับมา พอเหนื่อยแล้วเปลี่ยนแบบมหาสติปัฎฐาน คำพูดของหลวงพ่อจรัณ ฐิตะธัมโม วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ดังก้องในหูว่าตอนยืนตรงให้กำหนด ยืนหนอ ๆๆๆ สี่ชุด แต่ละชุดให้กำหนดยืนมีแสงพุ่งจากตรงกระหม่อมลงผ่านสมอง ท้ายทอย ลงมาตามกระดูกสันหลัง ลงมาผ่านก้นกบ แยกออกขาสองข้าง แสงผ่านมาถึงฝ่าเท้า แปลว่าจบคำว่า ยืน....พอกำหนดกลับหนอ............ให้มีแสงย้อนทางจากฝ่าเท้าขึ้นมาตามขาสองข้างผ่านมาก้นกบ กระดูกสันหลัง ท้ายทอย กลางกะโหลก ทะลุขึ้นฟ้าไปเป็นอันว่าจบคำว่าหนอ......กำหนดนี้หนึ่งชุด กำหนดยืนหนอสี่ชุด แล้วกำหนดอยากเดินหนอ ๔ ครั้ง กำหนดเดินระยะที่หนึ่ง ซ้ายย่างหนอ จิตกำหนดคำว่า ซ้าย เท้าซ้ายยกส้นเท้า ปลายเท้ายังติดพื้นดินอยู่ กำหนดย่าง......เท้าซ้ายค่อย ๆ ลอยกลางอากาศ เคลื่อนไหวออกไปข้างหน้า กำหนดหนอ.....ปลายเท้าซ้ายแตะพื้นดินพอดี ขวาย่างหนอ กำหนดเหมือนกันต่างกันแต่ซ้ายกับขวาเท่านั้น กำหนดสลับไปมาอย่าหลงสติซ้ายขวาไปเรื่อยๆ ไม่ต้องอยากรู้นั่นเห็นนี่ ถ้าคิดเมื่อไหร่จะเป็นโลภะทันที เพราะว่าเมื่อส่งจิตออกนอกกายเป็นสมุทัย คือเหตุแห่งทุกข์ม่านกิเลสก็มาครอบคลุมจิต จึงไม่สงบสว่างสดใสซักครั้ง กำหนดแบบนี้ ๒ รอบเดินจงกรม ขณะจะกลับตัวข้างกองไฟหลับตาอยู่ในนิมิตเห็นภาพผู้ชาย ๒ คน ต่างพากันแก้ผ้า คนหนึ่งหัวล้าน อีกคนหนึ่งยังหนุ่มแน่นอยู่ กำลังพากันวิดระหัสน้ำบนเสาที่ปักริมทะเล สาดน้ำหันหน้าออกไปอยู่ริมทะเล น้ำทะเลประมาณโคนขา มีคลื่นทะเลขนาดเล็กสาดซ่า ๆๆ หลายครั้ง นิมิตนี้ต้องมีสติพิจารณาเป็นไตรลักษณ์ มีขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เสมอ
รูปที่ ๓๖ หลวงปู่บุญมี ปิยธรรมโม วัดถ้ำโพธิ์ทอง
ตำบลบ้านแก้ง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม และอัฎฐิของท่านที่กลายเป็นพระธาตุ
นิมิตแบบนี้ หลวงปู่พระอาจารย์บุญมี ปิยธัมโม วัดถ้ำโพธิ์ทอง บ้านแก้ง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ท่านเมตตาสอนไว้ตั้งแต่เด็กว่า พระธรรมมาสอนหรือเกิดมีปัญญาพิเศษ ได้พิจารณาแก้ปัญหาธรรมนี้ว่า มนุษย์เราเกิดมาแต่ตัว ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ จนหัวล้านจะลงโลง ต่างก็ไม่มีสมบัติอะไรติดตัวไปได้เลย ซ้ำยังหลงโง่อยู่ในทะเลวัฎฎะ ยึดหลักถือเอาว่าใช่ตัวเรา ตัวฉัน ตัวกู ซ้ำพากันเอามือวิดน้ำ (ภาษาอิสานว่า สะน้ำ ) เติมลงไปในทะเลวัฏฏะโลภะ วัฏฏะโทสะ วัฏฏะโมหะ อยู่ตลอดเวลา อย่างนี้จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างไร เพราะไม่ใส่ใจธรรมะแล้วจะบรรลุธรรมได้อย่างไร หลวงปู่ภูพานจึงว่า คนพวกนี้ไม่หาธรรมและไม่มีทางเจอธรรม ต้องธรรมหาเข้ามาใส่ตัวจึงจะพบธรรมและบรรลุธรรม นิมิตแบบนี้ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่มาเตือนสติกระตุ้นปัญญาเท่านั้น อย่าไปหลงนึกว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ หรือท่านผู้อ่านก็อย่าอยากมารู้เห็น หรือเอาอย่างเพราะต่างคนต่างมีวาสนาบารมีมาไม่เท่ากัน ทางแก้นิมิตเพื่อความสงบของจิตให้ใจมีสติเป็นมหาสติยึดคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รูปนิมิตนี้ไม่เที่ยงแท้
รูปที่ ๓๗ พระอาจารย์เจนยุทธนา จิรยุทโธ (หลวงปู่ภูพาน)
วัดโนนสวรรค์ บ้านโนนสวรรค์ ต.พังขว้าง อ.เมือง จ.สกลนคร
หลังจากเดินจงกรมไป – กลับแบบซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ๒ – ๓ รอบ เวลาประมาณ ๐๙.๒๐ น. ระหว่างจะเอี้ยวตัวกลับเกิดภาพนิมิตเห็นผู้ชายถอดเสื้อหน้าตาไม่ชัดเจนยืนยกแขนสองข้างกอดศรีษะเบ่งกล้ามเห็นเป็นมัด ๆ เหมือนนักเพาะกาย นิมิตนี้ให้ถือเป็นวิปัสสนาว่า คนเรามักจะนึกว่าตนยังหนุ่มสาวแข็งแรงอยู่ จึงหลงตน หลงโลก ไม่ปฏิบัติธรรม คิดว่าการเวลานั้นยังยาวนาน แก่ตัวไปค่อยปฏิบัติธรรม แต่ความเป็นจริง เวลาคือพระกาฬ ที่คอยผลาญทำลายอยู่ตลอดเวลา ถ้าบุญบารมีดีอาจมีศรัทธาได้ทำทาน รักษาศีลบ้าง ส่วนปฏิบัติธรรมนั้น คอยให้อวิชชาเริ่มจืดจางก่อนแล้วค่อยให้เห็นแสงสว่างอันริบหรี่และหนทางแห่งธรรม ซึ่งเวลานั้นจะเกิดตอนไหนก็ไม่รู้ อาจหนุ่มหรือแก่ อาจตายเป็นผีแน่นิ่งไปก่อนก็ได้
ออกเดินจงกรมมานั่งสมาธิแล้วนอนพักจนถึงเวลา ๑๑.๐๐ น. ลงไปหาอาหารรับประทานอยู่ใกล้หลังศาลาโรงฉันเป็นที่พักของโยมผู้ชาย มีอาหารใส่ถาดไว้เป็นข้าวกล้อง ข้าวเหนียว อาหารก้นบาตร หมูปิ้ง ปลากรอบ ทุเรียนกวน ผสมกันมา เลยต้องพิจารณาเป็นอาหารเรปฏิกูลสัญญา อิ่มแล้วเดินไปที่โรงครัวขอสมอดองกับคุณยายมาทาน ๘ ลูก พร้อมพริกเกลือ ดื่มน้ำตามมาก ๆ หลังชาร์ตแบตเตอรี่มือถือ คนก็ชาร์ตอาหารลงกระเพาะ นอนพักจนบ่ายสองโมงแล้วเดินกลับขึ้นมาที่พักกุฏิหมายเลข ๓ เดินจงกรมต่อจนเวลาประมาณบ่าย ๔ โมงคราวนี้ฟืนหมดแล้วจึงเดินจงกรมไปหาฟืนได้หลายหลัว
บ่ายสี่โมงกว่าอาบน้ำท่าแต่งตัวเสร็จเกือบหกโมงเย็น รีบก่อไฟนั่งกรรมฐานจนเกือบหนึ่งทุ่มเก็บของลงกระเป๋าพร้อมผ้าห่มหมอน ตากผ้าไว้ที่ราวเหล็ก เสร็จแล้วขับรถกระบะดีแม็ค อีซูซุทะเบียนตองห้าไปจัดรายการวิทยุรายการเวทีอาสาเพื่อประชาชน ที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดสกลนคร คลื่น ๙๑.๒๕ เมกกะเฮริร์ต ตั้งแต่เวลา ๓ ทุ่ม ถึง ๖ ทุ่ม กับคุณหมอศิริโรจน์ กิตติสารพงษ์ และอาจารย์ณรงศักดิ์ ถีระวงษ์ ถ้าหากฟังทางเวปไซด์ เปิดอินเตอร์เน็ตไปที่ www.prd.go.th แล้วคลิก วิทยุออนไลท์ที่ สวท.สกลนคร เท่านี้ท่านก็ได้รับฟังเรื่องดี ๆ ประเทืองปัญญา หรือจะแสดงความคิดเห็นได้ที่หมายเลข ๐๔๒ - ๗๑๔๕๗๒ หรือ ๐๔๒ - ๗๑๔๕๘๑
กลับจากสถานีวิทยุ สวท.สกลนครเวลาหกทุ่มขับรถมาถึงวัดป่าหนองไผ่ประมาณ ๒๐ นาที เดินขึ้นมาที่พักลานเดินจงกรมก่อไฟต้มน้ำทานโอวัลติน ๑ แก้ว นั่งกรรมฐานข้างกองไฟจนตี ๒ กว่า อาศัยกองไฟแก้หนาวอากาศขณะนี้ประมาณ ๑๒ – ๑๓ องศา สุมฟืนเข้ากองไฟแล้วล้มตัวลงนอนฝันเห็นแขกหนวดกำลังทะเลาะกับญาติพ่อแม่เด็ก ตกใจตื่นขึ้นมา ความฝันนี้คงจะหมายถึงความวุ่นวายของชีวิต ญาติกันพี่น้องกันก็ทะเลาะกันเพราะความโลภ อัตตาตัวตนเห็นแก่ตัว จึงต้องทะเลาะแก่งแย่งกัน วุ่นวาย นิมิตนี้คงหมายถึงเราต้องกลับไปพบเจอความสับสนวุ่นวายทางโลกมนุษย์ ไปพบกับสังคมที่มีแต่อัตตา ตัวกู ของกู และหน้ากากของคนที่ไม่อาจจะรู้ใจ
เช้าวันนี้อากาศหนาวมาก แต่อาศัยห่มผ้าห่มจึงอดทนได้บ้าง เพราะความจริงชีวิตคือการอดทนอยู่แล้ว คุณพ่อ ตงเค่งเซ็ง จึงบอกให้ลูกหลานท่องจำว่า ลูกผู้ชายต้องอดทนและต่อสู้
วันอาทิตย์ ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
คูหาสะรัง
เวลาตี ๐๒.๔๕ น. ตื่นมากลางดึกอากาศหนาวเย็นคาดว่าประมาณ ๑๐ – ๑๕ องศา ลมราตรีพัดชวนความหนาวมาเป็นเพื่อน ห่มผ้าแล้วชงชาดื่ม ๒ แก้ว เขียนบันทึกข้อมูลไว้
เวลา ๐๓.๐๐ น. นั่งกรรมฐานข้างกองไฟ มีเพื่อนมาเยี่ยมเยือน คือมดอพยพออกจากดุ้นฟืนมาอยู่ใต้เบาะรองนอนฝูงหนึ่ง นั่งเข้าฌานสงบไปไม่รู้ตัวเลย มีอาการเหมือนตอไม้นั่นแหละไม่รับรู้อะไร จึงเรียกว่าเป็นสมาธิหัวหลักหัวตอ ไม่มีปัญญาความรู้อะไร แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ ได้มานั่งในป่านี้ คิดเข้าข้างตนเองว่า ทั้งวัดนับดูฆราวาสญาติโยมแล้วมีไม่เท่าไหร่เลย ยิ่งมานอนกลางป่า อยู่ระหว่างทางเดินจงกรมท่ามกลางอากาศหนาวแบบนี้ เอาต้นไม้ก้อนหินและลมหนาวเป็นเพื่อน ใบไม้เป็นหลังคา ดาวระยิบระยับน้อยใหญ่ต่างแสงไฟคบเพลิงคบไต้ เสียงกระรอก ไก่ป่าดั่งร้องขันกล่อมมาดั่งดนตรีสวรรค์ ถึงจะเป็นสมาธิหัวตอก็ช่างเถิด
หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม ได้เมตตาอธิบายให้ฟังเมื่อคราวที่ไปขอคำแนะนำจากท่านคราวที่ท่านยังไม่มรณะภาพว่า เมื่อเข้าสมาธิไปจนจิตสงบเงียบ ขาดสติเข้าฌานไปก็เหมือนกับเราเอาจิตจมดิ่งลงสู่ความเป็นทิพย์ พอตื่นขึ้นมาจิตมีพลังควรค่าแก่การทำงานแล้ว ให้ยกจิตขึ้นพิจารณาสังขารร่างกายดูให้เป็นปฎิกูล เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม จนจิตเกิดความเบื่อหน่าย คือ นิพพิทา และถอนจากราคะ คือความรัก กลายเป็นวิราคะ ถึงจะหมดแล้วสิ้นแล้ว กลายเป็นวิมุติญาณทัศนะ ตอนจิตเข้าฌาณนั่งสงบเงียบ เรียกว่า คูหาสะรัง จิตเข้าสู่คูหาเถื่อนถ้ำที่พัก เหมือนเข้าไปบรรจุแบตเตอรี่พอเต็มที่เต็มกำลังก็ยกขึ้นใช้งาน ดังนั้น ถึงจะเป็นสมาธิหัวตอก็ไม่เป็นไร ขอยกคำบาลีมาให้อ่านประกอบก็ได้ว่า ลักษณะของจิต นั้น
“ทูรังคะมัง เอกะจะรัง อะสะรีรัง คูหาสะรัง
เย จิตตัง สัญญะ เมสสันติ โมกขันติ มาระพันธะนา
ชนเหล่าใดจักสำรวมจิตที่ไปได้ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง
มีถ้ำคือร่างกายเป็นที่อาศัย ชนเหล่านั้น จะพ้นจากเครื่องผูกของมารได้” (ขุ. ธ. ๒๕/๑๓/๑๙)
ทูรังคะมัง แปลว่า ไปได้ไกล คือ ออกรับอารมณ์ในที่ไกลได้ เช่นนั่งอยู่ที่เมืองไทยใจอาจคิดไปถึงอเมริกา หรือ นอกโลก รวมทั้งอาจไปในอดีตและอนาคตก็ได้
เอกะจะรัง แปลว่า เที่ยวไปดวงเดียว คือ จิตเกิดดับทีละดวง และรับอารมณ์ได้ครั้งละหนึ่งอย่าง
อะสะรีรัง แปลว่า ไม่มีรูปร่าง คือ จิตนี้ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสี ไม่มีสัณฐาน
คูหาสะรัง แปลว่า มีถ้ำคือร่างกายเป็นที่อยู่อาศัย
เวลาตี ๔ ลุกมาเดินจงกรมไปกลับท่ามกลางอากาศหนาวเย็น แม้ใส่เสื้อกันหนาวก็ยังต้องห่มผ้าห่มทับอีกชั้นหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะเย็นหลังมาก เกิดอาการง่วงนอนซึ่งเป็นนิวรณ์อย่างหนึ่งเหมือนกัน (ใครบ่นว่าไม่ง่วงลองมาเดินดูหน่อยก็ได้) จึงต้องใช้วิธีเดินจงกรมแบบเร็ว ๆ และกลั้นลมหายใจไปด้วยตาสว่างเลยคราวนี้ จิตมันขี้ขลาดกลัวตาย หรืออาจเป็นเพราะชาอู่หลงสองแก้วก็ได้
เวลาตี ๕ กว่า ๆ สุมฟืนให้ไฟลุกแล้วต้มน้ำ ระหว่างนั้นนั่งกรรมฐานพิจารณาลมหายใจเข้าออก วับเดียวผู้ชายสองคนหันมามอง คงเป็นเทวดาที่รักษาแถวนี้กระมัง ต้องพิจารณาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่งภาวนาไปจนหกโมงครึ่ง จึงลุกมาเก็บผ้าห่มผ้าผวยไปพับไว้ตรงราวบันไดกุฏิ
พิจารณาดูกองไฟแล้วเห็นเป็นเรื่องน่าคิด เพราะไม้อ่อนแห้งกรอบผุแล้ว พอสุมเข้ากองไฟซักครู่ก็ติดลุกโชน แต่ไม้ที่แกร่งแข็งสุมเข้าตั้งนานก็ไม่ยอมติดไฟเลย คงเปรียบได้กับคนเราหาคนที่มีแก่นได้ยาก พอไฟโหมมาก็มอดไหม้ไป ส่วนคนแก่นแม้ไฟจะกระพือ ลมจะพัดกระหน่ำซ้ำ คนแก่นก็ไม่ยอมมอดไหม้ลุกโชนตาม
ไฟที่พระพุทธองค์สอนชฏิล ๓ พี่น้องที่บูชาไฟ ได้แก่ ไฟคือโทสะ โทสะคิ ไฟคือโมหะ โมหะคิ ไฟคือราคะ ราคะคิ ไฟทั้งสามอย่างนี้ต่างมีการเผาไหม้แตกต่างกันไป รายละเอียดมีมากดูเฉพาะในหน้าปกหนังสือพิมพ์รายวันแต่ละฉบับหรือทุกประเด็นข่าว ทุกคอลัมน์ต่างเต็มไปด้วยกองไฟใหญ่น้อยต่าง ๆ นานา แล้วแต่ใครจะมีปัญญาหาดูเอง มีนิมิตแวบหนึ่งเห็นผู้ชายสองคนอยู่ตรงทางเดินจงกรมหันมาสบตา มีกล่องกระดาษใส่ขวดน้ำ สงสัยเราไม่ได้กรวดน้ำหรือถวายน้ำให้พระสงฆ์กระมัง เทวดาเลยบอกว่าต้องหาน้ำมาดับไฟ (นิมิตนี้อย่าลืมต้องพิจารณาเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ปู่ฤาษีโสตัสตะภิญญา จึงบอกคาถาดับไฟความทุกข์ไว้ให้ท่องบ่น ว่า
โอมพระพุทธ มาดับพระเพลิง โอมพะปะเปิง ทะสะวาหะ
โอมพระธรรม มาดับพระเพลิง โอมพะปะเปิง ทะสะวาหะ
โอมพระสงฆ์ มาดับพระเพลิง โอมพะปะเปิง ทะสะวาหะ
ใครสนใจก็ท่องบ่นเอาไว้ใช้ก่อนนอนหรือก่อนไปทำงานตอนเช้าซัก ๓ - ๙ จบ จะทำให้ธุรกิจการงานเจริญรุ่งเรือง ตนเองก็จะอยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป ยิ่งเข้าสมาธิท่องบ่นยิ่งเห็นผลเร็ว แต่อย่าลืมหมากพลู บุหรี่ น้ำซักแก้ว แค่นี้คงไม่หนักหนาอะไร ขออย่างเดียวอย่าถามหาตัวตนท่าน ไม่มีทางไปหาเจอหรอก ก็อยู่ที่ป่าหิมพานต์โน่นจะไปหาได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าฌานติดต่อ ใครอยากลองก็ท่องบ่นภาวนาคำว่า “โสตัสตะภิญญา” ท่านผู้นี้มีฤทธิ์มาก ลองขอพรท่านดูก็ได้นะ
เวลา ๐๘.๓๐ น.หลังจากทานโกโก้ร้อน ๑ แก้ว เดินจงกรมแบบมหาสติปัฏฐานสูตร ความจริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสติปัฏฐานทั้งนั้นแหละ เพียงแต่จะใช้วิธีการหรือคำเรียกอย่างไรเท่านั้น ที่ดูแล้วเหมือนแตกต่างกัน อยากเปรียบเทียบว่าการเดินทางไปจุดหมายเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเดินทางเหมือนกัน ไปกรุงเทพไม่จำเป็นต้องนั่งเครื่องบินเสมอไปกระมัง เดินไปก็ถึงเหมือนกันอาจช้าหน่อย แต่เห็นรายละเอียดเยอะกว่า หรือจะนั่งรถโดยสาร กลิ้งไป คลานไป ก็ถึงทั้งนั้นอาจช้าเร็วต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจริตและบุญบารมีของแต่ละคนไป ไม่อาจนำตาชั่งหรือไม้บรรทัดมาวัดเปรียบเทียบได้
บางท่านอาจจะเกิดคำถามว่า ปฎิบัติธรรมกรรมฐานอะไรมีหลายแบบหลายอย่างแท้ ทำไมไม่เอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องเรียนชี้แจงเป็นการสร้างความเข้าใจก่อนว่า ปี พ.ศ.๒๕๓๐ ตอนไปเรียนหนังสืออยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาลัยครูและอาชีวศึกษา วิทยาเขตเทเวศร์ กทม. (เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล) มีบุญใหญ่ได้ไปฝึกกรรมฐานกับพระธรรมธีรราชมหามุนี (เจ้าคุณโชดก) วัดมหาธาตุ ๑-๒ ครั้ง ไปวันเสาร์ - อาทิตย์ เลยจำได้ และเป็นลูกศิษย์ท่านด้วย ตอนหลังมาทำงานเป็นครูก็ไปฝึกกรรมฐานแนวทางนี้แหละ ตอนบรรจุครูใหม่ก็ไปฝึกกรรมฐานแนวทางนี้กับท่านพระครูเลียบ วัดศรีจำปา บ้านซ่ง เป็นรองเจ้าคณะอำเภอนาแกสมัยนั้น ท่านพระครูสั่งให้ไปนั่งกรรมฐานในป่าช้าและพาไปฝึกธุดงค์แบบค้างแรมในป่าเทือกเขาภูพาน อำเภอนาแกเลย จึงอย่าแปลกใจถ้าหากจะมีการฝึกกรรมฐานหลายวิธี เพราะเป็นลูกศิษย์หลายสำนักนั่นเอง แต่ถ้าท่านใดจะฝึกเอาแบบอย่างเดียวก็ไม่ได้ผิดอะไร หลวงปู่พระอาจารย์บุญมี ปิยธรรมโม วัดถ้ำโพธิ์ทอง บ้านแก้ง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ที่ได้มีบุญเป็นลูกศิษย์สะพายย่ามให้ท่านตั้งแต่เรียนชั้นประถมปีที่ ๑ ได้บอกแนวทางไว้ว่า การที่พระอุปปัฐฌาบอกกรรมฐานให้ตอนบวชว่า เกศา โลมา นักขา ทันตา ตะโจ นั้น ไม่จำเป็นต้องพิจารณาทุกส่วนหรอก ให้เอาอย่างเดียว เช่น เกศา ก็นั่งภาวนาว่าเกศาตลอดไป อัฎฐิก็ท่องอัฎฐิตลอดไป จนกว่าจะจิตสงบ เพราะอย่างใดอย่างหนึ่งก็ใช้แทนกันได้ แล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล
เดินจงกรมตอนแรกวันนี้ท่องพุทโธ กลับไปกลับมา พอเหนื่อยแล้วเปลี่ยนแบบมหาสติปัฎฐาน คำพูดของหลวงพ่อจรัณ ฐิตะธัมโม วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ดังก้องในหูว่าตอนยืนตรงให้กำหนด ยืนหนอ ๆๆๆ สี่ชุด แต่ละชุดให้กำหนดยืนมีแสงพุ่งจากตรงกระหม่อมลงผ่านสมอง ท้ายทอย ลงมาตามกระดูกสันหลัง ลงมาผ่านก้นกบ แยกออกขาสองข้าง แสงผ่านมาถึงฝ่าเท้า แปลว่าจบคำว่า ยืน....พอกำหนดกลับหนอ............ให้มีแสงย้อนทางจากฝ่าเท้าขึ้นมาตามขาสองข้างผ่านมาก้นกบ กระดูกสันหลัง ท้ายทอย กลางกะโหลก ทะลุขึ้นฟ้าไปเป็นอันว่าจบคำว่าหนอ......กำหนดนี้หนึ่งชุด กำหนดยืนหนอสี่ชุด แล้วกำหนดอยากเดินหนอ ๔ ครั้ง กำหนดเดินระยะที่หนึ่ง ซ้ายย่างหนอ จิตกำหนดคำว่า ซ้าย เท้าซ้ายยกส้นเท้า ปลายเท้ายังติดพื้นดินอยู่ กำหนดย่าง......เท้าซ้ายค่อย ๆ ลอยกลางอากาศ เคลื่อนไหวออกไปข้างหน้า กำหนดหนอ.....ปลายเท้าซ้ายแตะพื้นดินพอดี ขวาย่างหนอ กำหนดเหมือนกันต่างกันแต่ซ้ายกับขวาเท่านั้น กำหนดสลับไปมาอย่าหลงสติซ้ายขวาไปเรื่อยๆ ไม่ต้องอยากรู้นั่นเห็นนี่ ถ้าคิดเมื่อไหร่จะเป็นโลภะทันที เพราะว่าเมื่อส่งจิตออกนอกกายเป็นสมุทัย คือเหตุแห่งทุกข์ม่านกิเลสก็มาครอบคลุมจิต จึงไม่สงบสว่างสดใสซักครั้ง กำหนดแบบนี้ ๒ รอบเดินจงกรม ขณะจะกลับตัวข้างกองไฟหลับตาอยู่ในนิมิตเห็นภาพผู้ชาย ๒ คน ต่างพากันแก้ผ้า คนหนึ่งหัวล้าน อีกคนหนึ่งยังหนุ่มแน่นอยู่ กำลังพากันวิดระหัสน้ำบนเสาที่ปักริมทะเล สาดน้ำหันหน้าออกไปอยู่ริมทะเล น้ำทะเลประมาณโคนขา มีคลื่นทะเลขนาดเล็กสาดซ่า ๆๆ หลายครั้ง นิมิตนี้ต้องมีสติพิจารณาเป็นไตรลักษณ์ มีขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เสมอ
รูปที่ ๓๖ หลวงปู่บุญมี ปิยธรรมโม วัดถ้ำโพธิ์ทอง
ตำบลบ้านแก้ง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม และอัฎฐิของท่านที่กลายเป็นพระธาตุ
นิมิตแบบนี้ หลวงปู่พระอาจารย์บุญมี ปิยธัมโม วัดถ้ำโพธิ์ทอง บ้านแก้ง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ท่านเมตตาสอนไว้ตั้งแต่เด็กว่า พระธรรมมาสอนหรือเกิดมีปัญญาพิเศษ ได้พิจารณาแก้ปัญหาธรรมนี้ว่า มนุษย์เราเกิดมาแต่ตัว ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ จนหัวล้านจะลงโลง ต่างก็ไม่มีสมบัติอะไรติดตัวไปได้เลย ซ้ำยังหลงโง่อยู่ในทะเลวัฎฎะ ยึดหลักถือเอาว่าใช่ตัวเรา ตัวฉัน ตัวกู ซ้ำพากันเอามือวิดน้ำ (ภาษาอิสานว่า สะน้ำ ) เติมลงไปในทะเลวัฏฏะโลภะ วัฏฏะโทสะ วัฏฏะโมหะ อยู่ตลอดเวลา อย่างนี้จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างไร เพราะไม่ใส่ใจธรรมะแล้วจะบรรลุธรรมได้อย่างไร หลวงปู่ภูพานจึงว่า คนพวกนี้ไม่หาธรรมและไม่มีทางเจอธรรม ต้องธรรมหาเข้ามาใส่ตัวจึงจะพบธรรมและบรรลุธรรม นิมิตแบบนี้ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่มาเตือนสติกระตุ้นปัญญาเท่านั้น อย่าไปหลงนึกว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ หรือท่านผู้อ่านก็อย่าอยากมารู้เห็น หรือเอาอย่างเพราะต่างคนต่างมีวาสนาบารมีมาไม่เท่ากัน ทางแก้นิมิตเพื่อความสงบของจิตให้ใจมีสติเป็นมหาสติยึดคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รูปนิมิตนี้ไม่เที่ยงแท้
รูปที่ ๓๗ พระอาจารย์เจนยุทธนา จิรยุทโธ (หลวงปู่ภูพาน)
วัดโนนสวรรค์ บ้านโนนสวรรค์ ต.พังขว้าง อ.เมือง จ.สกลนคร
หลังจากเดินจงกรมไป – กลับแบบซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ๒ – ๓ รอบ เวลาประมาณ ๐๙.๒๐ น. ระหว่างจะเอี้ยวตัวกลับเกิดภาพนิมิตเห็นผู้ชายถอดเสื้อหน้าตาไม่ชัดเจนยืนยกแขนสองข้างกอดศรีษะเบ่งกล้ามเห็นเป็นมัด ๆ เหมือนนักเพาะกาย นิมิตนี้ให้ถือเป็นวิปัสสนาว่า คนเรามักจะนึกว่าตนยังหนุ่มสาวแข็งแรงอยู่ จึงหลงตน หลงโลก ไม่ปฏิบัติธรรม คิดว่าการเวลานั้นยังยาวนาน แก่ตัวไปค่อยปฏิบัติธรรม แต่ความเป็นจริง เวลาคือพระกาฬ ที่คอยผลาญทำลายอยู่ตลอดเวลา ถ้าบุญบารมีดีอาจมีศรัทธาได้ทำทาน รักษาศีลบ้าง ส่วนปฏิบัติธรรมนั้น คอยให้อวิชชาเริ่มจืดจางก่อนแล้วค่อยให้เห็นแสงสว่างอันริบหรี่และหนทางแห่งธรรม ซึ่งเวลานั้นจะเกิดตอนไหนก็ไม่รู้ อาจหนุ่มหรือแก่ อาจตายเป็นผีแน่นิ่งไปก่อนก็ได้
ออกเดินจงกรมมานั่งสมาธิแล้วนอนพักจนถึงเวลา ๑๑.๐๐ น. ลงไปหาอาหารรับประทานอยู่ใกล้หลังศาลาโรงฉันเป็นที่พักของโยมผู้ชาย มีอาหารใส่ถาดไว้เป็นข้าวกล้อง ข้าวเหนียว อาหารก้นบาตร หมูปิ้ง ปลากรอบ ทุเรียนกวน ผสมกันมา เลยต้องพิจารณาเป็นอาหารเรปฏิกูลสัญญา อิ่มแล้วเดินไปที่โรงครัวขอสมอดองกับคุณยายมาทาน ๘ ลูก พร้อมพริกเกลือ ดื่มน้ำตามมาก ๆ หลังชาร์ตแบตเตอรี่มือถือ คนก็ชาร์ตอาหารลงกระเพาะ นอนพักจนบ่ายสองโมงแล้วเดินกลับขึ้นมาที่พักกุฏิหมายเลข ๓ เดินจงกรมต่อจนเวลาประมาณบ่าย ๔ โมงคราวนี้ฟืนหมดแล้วจึงเดินจงกรมไปหาฟืนได้หลายหลัว
บ่ายสี่โมงกว่าอาบน้ำท่าแต่งตัวเสร็จเกือบหกโมงเย็น รีบก่อไฟนั่งกรรมฐานจนเกือบหนึ่งทุ่มเก็บของลงกระเป๋าพร้อมผ้าห่มหมอน ตากผ้าไว้ที่ราวเหล็ก เสร็จแล้วขับรถกระบะดีแม็ค อีซูซุทะเบียนตองห้าไปจัดรายการวิทยุรายการเวทีอาสาเพื่อประชาชน ที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดสกลนคร คลื่น ๙๑.๒๕ เมกกะเฮริร์ต ตั้งแต่เวลา ๓ ทุ่ม ถึง ๖ ทุ่ม กับคุณหมอศิริโรจน์ กิตติสารพงษ์ และอาจารย์ณรงศักดิ์ ถีระวงษ์ ถ้าหากฟังทางเวปไซด์ เปิดอินเตอร์เน็ตไปที่ www.prd.go.th แล้วคลิก วิทยุออนไลท์ที่ สวท.สกลนคร เท่านี้ท่านก็ได้รับฟังเรื่องดี ๆ ประเทืองปัญญา หรือจะแสดงความคิดเห็นได้ที่หมายเลข ๐๔๒ - ๗๑๔๕๗๒ หรือ ๐๔๒ - ๗๑๔๕๘๑
กลับจากสถานีวิทยุ สวท.สกลนครเวลาหกทุ่มขับรถมาถึงวัดป่าหนองไผ่ประมาณ ๒๐ นาที เดินขึ้นมาที่พักลานเดินจงกรมก่อไฟต้มน้ำทานโอวัลติน ๑ แก้ว นั่งกรรมฐานข้างกองไฟจนตี ๒ กว่า อาศัยกองไฟแก้หนาวอากาศขณะนี้ประมาณ ๑๒ – ๑๓ องศา สุมฟืนเข้ากองไฟแล้วล้มตัวลงนอนฝันเห็นแขกหนวดกำลังทะเลาะกับญาติพ่อแม่เด็ก ตกใจตื่นขึ้นมา ความฝันนี้คงจะหมายถึงความวุ่นวายของชีวิต ญาติกันพี่น้องกันก็ทะเลาะกันเพราะความโลภ อัตตาตัวตนเห็นแก่ตัว จึงต้องทะเลาะแก่งแย่งกัน วุ่นวาย นิมิตนี้คงหมายถึงเราต้องกลับไปพบเจอความสับสนวุ่นวายทางโลกมนุษย์ ไปพบกับสังคมที่มีแต่อัตตา ตัวกู ของกู และหน้ากากของคนที่ไม่อาจจะรู้ใจ
เช้าวันนี้อากาศหนาวมาก แต่อาศัยห่มผ้าห่มจึงอดทนได้บ้าง เพราะความจริงชีวิตคือการอดทนอยู่แล้ว คุณพ่อ ตงเค่งเซ็ง จึงบอกให้ลูกหลานท่องจำว่า ลูกผู้ชายต้องอดทนและต่อสู้
16.วันที่หกแห่งการปฏิบัติธรรม...วันเสาร์ ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑...หลักธรรม ระบำชา
วันที่หกแห่งการปฏิบัติธรรม
วันเสาร์ ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
หลักธรรม ระบำชา
ดูนาฬิกาเวลาตีสามพอดีลุกมาเดินจงกรม เสียงย่ำกลองดึกของวัดที่อยู่ไกลๆ ดังตุ้มโมงๆๆ อือ........ มาตามสายลม คืนนี้ลมพัดอ่อนรวยรินไม่รุนแรง เสียงกบเขียดร้องระงมที่ริมห้วยก้องป่า ท่อนฟืนลุกติดเปลวไฟดังเปลี๊ยะ ๆ เปลวไฟลามเลียพึบพับหวังว่าคงได้ชงชาอีกซักกาแน่ เดินจงกรมไม่นานมานั่งกรรมฐานต่อเห็นสมควรแก่เวลานอนตะแคงสีหไสยาสน์ด้านซ้ายเอาแขนซ้ายหนุนขมับ หลับไปในท่านั้น
กลุ่มรูปที่ ๓๑ เดินจงกรมตอนตีสามอาศัยแสงเทียนส่องนำทาง
เวลาตีห้าครึ่งรู้ตัวตื่นขึ้นมาแขนเป็นเหน็บเลย สายลมหนาวโชยพัดมา กองไฟยังลุกโชนพอได้อาศัยความร้อนมาขับไล่ความเย็นเยือก เลยชงชาดื่มอีกหนึ่งป้าน ตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มทอแสงเรื่อเรืองมาอีกแล้ว ท่านพระสุริยเทพไม่เคยคดโกงคอรับชั่นเวลาเหมือนมนุษย์ หากมนุษย์เราจะมีคำสัจจะดั่งตะวันคงจะดีมาก สัจจัง เว อมตะวาจา ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ความร้อนจากกองไฟยามลุกโชนได้ขับไล่ความหนาวเหน็บเยือกเย็น มนุษย์เราก็เช่นกัน ยามสุขมาก ทุกข์ก็น้อย ยามทุกข์มากสุขก็น้อย ความจริงแล้ว พระท่านว่าความสุขหาได้มีไม่ มีแต่ความทุกข์ครอบครองอยู่ จึงบอกกฎให้เราสำนึกว่า อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าพอมีสติบ้าง เอากฎอริยสัจ ๔ นี้ มาพิจารณาทุกเรื่องราวแล้ว เราก็คงจะเห็นจริงดั่งนั้น เกิดมาก็ทุกข์ โตมา(แก่)ก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ ก่อนตายก็ทุกข์ ตายแล้วยิ่งทุกข์ ในมหาภูตรูป ๔ จึงเป็นกฎธรรมชาติที่เราทุกคนควรทำความเข้าใจให้เป็นธรรมดาของธรรมชาติ ยึดมั่นมากเท่าใดก็เป็นทุกข์มากเท่านั้น ไม่ยึดก็ไม่อยาก ไม่ทุกข์
ลมหนาวเช้าตรู่พัดมาซู่ซ่า......ไก่ป่ากระชั้นเสียงขัน เอ็ก อี้ เอ้ก เอ็ก ๆๆๆ เป็นนาฬิกาป่าบอกโมงยาม กระรอกหมู่ ๓ -๔ ตัว ทั้งสีขาว สีดำกระโดดไต่จากยอดไม้ต้นนั้นไปยอดไม้ต้นนี้ส่งเสียงดังอัก อี๊ก อัก ๆๆๆๆ หมู่นกตกใจกระรอกบินโฉบจากไม้นั้นไปไม้นี้ เหมือนกับคนเราเลย คือหนีจากทุกข์นั้นย้ายไปทุกข์นี้ ผ่องถ่ายความทุกข์ย้ายความทุกข์ไปเรื่อยๆ เพื่อหาความสุข ทั้งที่ความจริงแล้ว ทุกข์สุขอยู่ที่ใจต่างหาก
รูปที่ ๓๒ กระรอกเผือกหาอาหารยามเช้าตรู่
รูปที่ ๓๓ พระอาทิตย์กำลังทอแสง
ความจริงโลกนี้ทุกสิ่งเหมือนนาฬิกาเตือนกันและกันตลอด บอกความจริงให้ตลอดแต่เราไม่รู้ตัวเอง สายลมหนาวบอกเวลาการเปลี่ยนแปลงสภาพความทุกข์ทางกาย พระอาทิตย์บอกเวลาแจ้งสว่างมืดค่ำ ไก่ป่า ขันร้องบอกว่า เช้าแล้วนะนี่ ๆๆ เอ๊ก อี่ เอ้ก เอ็กๆๆ นกโพระดกหรือนกกะโปกร้องบอกเวลามีภัยบางอย่างเข้ามาหรือร้องหาคู่ โปงใช้ตีบอกเวลาพระไปบิณฑบาตให้โยมในหมู่บ้านได้รู้ล่วงหน้า น้ำชาจืดบอกให้รู้ว่าควรจะเปลี่ยนชาใหม่ได้แล้ว ใบไม้แห้งหล่นปลิวหมายถึงความตาย ผมหงอกขาวสายตายาวบอกว่าเริ่มชราแล้ว มัวหาเรื่องเสียเวลาไปใย ทำไมไม่รีบหาสมบัติใจและเส้นทางวิมุติเล่า เห็นดังนี้ไม่รู้อีกหรือว่า นาฬิกานั้นมีอยู่ทั่วไป สุดแต่ใครจะมีปัญญาอ่านออก ดูออก ไขรหัสนั้นออก ความไม่รู้และความไม่อยากจะรู้นั่นแหละ คือ อวิชชา
เรื่อเรื่อตะวันฉาย เปล่งประกายสาดทอแสง
อรุณจะเริ่มแรง เปล่งประกายสุริยันต์
ไก่ป่ากระชั้นถี่ ราตรีรี่หนีหน้าหัน
กระรอกเสียงชักชวนกัน เต้นยอดไม้หาภักษา
ลมหนาวพัดพราวจิต สะกิดในเตือนใจว่า
ฤดูกาลเปลี่ยนผันมา อายุสั้นทุกวันคืน
เร่งรีบสดับธรรม นำปฏิบัติอย่าขัดขืน
รู้ธรรมรู้โลกยืน หยัดทระนงคงเป็นธรรม
เขียนบนทางเดินจงกรม กุฏิหมายเลข ๓ วัดป่าหนองไผ่ สกลนคร
ฤาษีเอก อมตะ
เช้าตรู่วันเสาร์ ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
ความเป็นจริงของการดำเนินชีวิตหลายวันมานี้ ต้องยอมยกให้ความหอมกรุ่นละมุนละไมของชาอู่หลงก้านอ่อนจากอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย หลายครั้งคราที่มีความเหน็ดเหนื่อยและเงียบเหงา การเลือกชา การต้มน้ำให้เดือด การเตรียมอุปกรณ์การชงทั้งป้านชา ถ้วยชา รูปลักษณ์และสีสัน การชงและการเตรียมจิตใจ ตลอดทั้งการจิบชิมอย่างละเลียดละเมียดบรรจง ให้เกียรติแก่ชา เหล่านี้เรียกว่า วิถีแห่งชา น้อยคนนักที่จะเข้าใจ ในสำนวนหนังสือจีนกำลังภายใจจึงพูดถึงจอมยุทธ์ทั้งหลายว่า ถ้าหากจอมยุทธ์ใดมีความรู้ให้แตกฉานเพียงหนึ่งในห้าอย่าง ผู้นั้นจัดว่าเป็นยอดจอมยุทธ์ ซึ่งทั้งห้าอย่างได้แก่ กระบี่ หมากรุก อักษร ชา และสุรา จึงไม่แปลกที่เมื่อมาอาศัยในป่าที่ร่มครึ้มเย็นสงบของวัดป่าหนองไผ่แห่งนี้ เพื่อนแท้ที่ได้พึ่งพาอาศัยได้แก่ ชา เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ ชา จึงต้องเขียนคำคล้องจองไว้ซักบท
ระบำยอดชา
ยามหนาวลมพัดหนาว ระรานร้าวเข้าดวงจิต
กองไฟจะรอนริด สุมฟืนเข้าเฝ้ากันหนาว
ยกกามาต้มน้ำ ไอเดือดพร่ำผุดฟองพราว
ไอน้ำหรือไอหนาว คละคลุ้งให้ไหลปนกัน
ป้านชาน้อยเพียงนิด จะลิขิตความหมายมั่น
ยอดชาใส่ลงพลัน อู่หลงขอดกอดเม็ดชา
น้ำร้อนรินลงราด ให้นวยนาดคลายปรารถนา
คลี่บานปานนภา เมฆขาวพราวเริงระบำ
น้ำร้อนรินซ้ำสอง ชาเริ่มมองดูบานฉ่ำ
คลี่คลายขยายคำ ครวญครุ่นคิดพินิจความ
ชาบานไม่เย็นชา กรุ่นอุราวะวาบหวาม
หอมหวนอบอวนยาม จิบอู่หลงโต้ลมหนาว
ชาบานสรานจิต หวังชีวิตพิสุทธิ์พราว
กรุ่นไอหอมหวนคราว ชิมยอดชาซึ้งอารมณ์
รินหลั่งจากป้านชา ยิ่งสุราหรือมาข่ม
ชาหอมชวนดอมดม จิบค่ำเช้าพราวกาพย์กลอน
วิถีแห่งยอดชา มีคุณค่าไม่หลอกหลอน
กลางป่าเนินดินดอน ชารสหอมไม่เสื่อมคลาย
วิถีแห่งสุรา เมาเหมือนบ้าดูน่าหน่าย
เสียคนมามากมาย มวลมิตรแตกแยกจากกัน
ระบำแห่งยอดชา เสพยิ่งพาจิตสุขสันต์
ค่ำคืนทิวาวัน จิบยอดชาพาสุขใจ
เขียนที่ข้างกองไฟปลายทางเดินจงกรมกุฏิหมายเลข ๓
ขณะชงชาโต้ลมหนาวดูธรรมชาติงาม วัดป่าหนองไผ่ จังหวัดสกลนคร
ฤาษีเอก อมตะ
เช้าตรู่ เวลา ๐๗.๒๐ น. วันเสาร์ ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
กลุ่มรูปที่ ๓๔ ต้มน้ำร้อนชงชาอู่หลง อาชิง เจ้าของร้านชา ชิงชิง บ้านสบรวก
สามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ส่งมาให้ชิมเป็นประจำ
เวลา ๙ นาฬิกา เดินทางออกจากวัดป่าหนองไผ่เพื่อมาในเมืองสกลนคร แวะตลาดสมเกียรติ เพราะวันเกิดทั้งทีไม่ได้ทำทานให้ผู้ทุกข์ยากลำบากก็ดูกระไรอยู่ แวะเข้าไปที่แผงขายผักของคุณยายจูขอซื้อผัก ฟักทอง มะละกอ มะเขือเทศ กระเทียม หัวหอม ดอกไม้ อื่น ๆ จำนวน ๕๐๐ บาท แล้วแต่จะจัดให้ คุณยายจูไม่ขอรับเงินและขอร่วมบุญด้วย แถมให้สามล้อขนไปใส่รถให้ด้วยพร้อมกับบอกว่า มีงานบุญที่ใดให้มาบอก บุญไม่มีซื้อขาย อยากได้ต้องทำเอง คุณยายตุ๊กแกเจ้าของตลาดตุ๊กแกก็ฝากข้าวกล้องมาด้วยหลายถุง ขอกราบขอบพระคุณที่ร่วมบุญด้วย
รูปที่ ๓๕ คุณยายจูตลาดสมเกียรติผู้มีจิตใจดีงาม
ขับรถไปถวายที่วัดคำประมง หลวงตาปพนพัชน์ไม่สบายเลยเอาไปฝากไว้โรงครัวให้แม่ชีทำอาหารถวายพระและแบ่งผู้ป่วยตามเหมาะสม หลวงตาให้เด็กเตรียมอาหารเที่ยงไว้รอ หลังทานข้าวแวะไปที่กุฏิประภาศรีนอนพักและให้ไอ้หนุ่มไทโส้ทำสะอาดดายหญ้าข้างกุฏิและรดน้ำต้นไม้ไม้ดอกข้างกุฏิให้ ส่วนเราก็นอนหลับไปจนบ่าย ๔ โมง ตื่นมาไอ้หนุ่มไทโส้บอกว่าระหว่างดายหญ้ามีผู้หญิงนุ่งชุดขาวมายืนดูเขาทำงานที่ประตูกุฏิ สงสัยเทวดาเฝ้ากุฏิมานิมิตให้เห็น กลับมาบ้านสกลนครเตรียมสิ่งของรอเดินทางไปวัดป่าหนองไผ่
เวลา ๓ ทุ่มกว่าออกจากบ้านขับรถตองห้ามาถึงวัดป่าหนองไผ่เผื่อก่อไฟเก็บของเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึง ๔ ทุ่มแล้ว หาหมอนผ้าห่มผ้าผวยมานั่งกรรมฐานที่ทางเดินจงกรมจนเกือบห้าทุ่ม สุมฟืนเข้ากองไฟพอลุกโชนแล้วนอนหันหัวเข้าหากองไฟ หลับไปไม่ฝันอะไรเลย
วันเสาร์ ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
หลักธรรม ระบำชา
ดูนาฬิกาเวลาตีสามพอดีลุกมาเดินจงกรม เสียงย่ำกลองดึกของวัดที่อยู่ไกลๆ ดังตุ้มโมงๆๆ อือ........ มาตามสายลม คืนนี้ลมพัดอ่อนรวยรินไม่รุนแรง เสียงกบเขียดร้องระงมที่ริมห้วยก้องป่า ท่อนฟืนลุกติดเปลวไฟดังเปลี๊ยะ ๆ เปลวไฟลามเลียพึบพับหวังว่าคงได้ชงชาอีกซักกาแน่ เดินจงกรมไม่นานมานั่งกรรมฐานต่อเห็นสมควรแก่เวลานอนตะแคงสีหไสยาสน์ด้านซ้ายเอาแขนซ้ายหนุนขมับ หลับไปในท่านั้น
กลุ่มรูปที่ ๓๑ เดินจงกรมตอนตีสามอาศัยแสงเทียนส่องนำทาง
เวลาตีห้าครึ่งรู้ตัวตื่นขึ้นมาแขนเป็นเหน็บเลย สายลมหนาวโชยพัดมา กองไฟยังลุกโชนพอได้อาศัยความร้อนมาขับไล่ความเย็นเยือก เลยชงชาดื่มอีกหนึ่งป้าน ตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มทอแสงเรื่อเรืองมาอีกแล้ว ท่านพระสุริยเทพไม่เคยคดโกงคอรับชั่นเวลาเหมือนมนุษย์ หากมนุษย์เราจะมีคำสัจจะดั่งตะวันคงจะดีมาก สัจจัง เว อมตะวาจา ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ความร้อนจากกองไฟยามลุกโชนได้ขับไล่ความหนาวเหน็บเยือกเย็น มนุษย์เราก็เช่นกัน ยามสุขมาก ทุกข์ก็น้อย ยามทุกข์มากสุขก็น้อย ความจริงแล้ว พระท่านว่าความสุขหาได้มีไม่ มีแต่ความทุกข์ครอบครองอยู่ จึงบอกกฎให้เราสำนึกว่า อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าพอมีสติบ้าง เอากฎอริยสัจ ๔ นี้ มาพิจารณาทุกเรื่องราวแล้ว เราก็คงจะเห็นจริงดั่งนั้น เกิดมาก็ทุกข์ โตมา(แก่)ก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ ก่อนตายก็ทุกข์ ตายแล้วยิ่งทุกข์ ในมหาภูตรูป ๔ จึงเป็นกฎธรรมชาติที่เราทุกคนควรทำความเข้าใจให้เป็นธรรมดาของธรรมชาติ ยึดมั่นมากเท่าใดก็เป็นทุกข์มากเท่านั้น ไม่ยึดก็ไม่อยาก ไม่ทุกข์
ลมหนาวเช้าตรู่พัดมาซู่ซ่า......ไก่ป่ากระชั้นเสียงขัน เอ็ก อี้ เอ้ก เอ็ก ๆๆๆ เป็นนาฬิกาป่าบอกโมงยาม กระรอกหมู่ ๓ -๔ ตัว ทั้งสีขาว สีดำกระโดดไต่จากยอดไม้ต้นนั้นไปยอดไม้ต้นนี้ส่งเสียงดังอัก อี๊ก อัก ๆๆๆๆ หมู่นกตกใจกระรอกบินโฉบจากไม้นั้นไปไม้นี้ เหมือนกับคนเราเลย คือหนีจากทุกข์นั้นย้ายไปทุกข์นี้ ผ่องถ่ายความทุกข์ย้ายความทุกข์ไปเรื่อยๆ เพื่อหาความสุข ทั้งที่ความจริงแล้ว ทุกข์สุขอยู่ที่ใจต่างหาก
รูปที่ ๓๒ กระรอกเผือกหาอาหารยามเช้าตรู่
รูปที่ ๓๓ พระอาทิตย์กำลังทอแสง
ความจริงโลกนี้ทุกสิ่งเหมือนนาฬิกาเตือนกันและกันตลอด บอกความจริงให้ตลอดแต่เราไม่รู้ตัวเอง สายลมหนาวบอกเวลาการเปลี่ยนแปลงสภาพความทุกข์ทางกาย พระอาทิตย์บอกเวลาแจ้งสว่างมืดค่ำ ไก่ป่า ขันร้องบอกว่า เช้าแล้วนะนี่ ๆๆ เอ๊ก อี่ เอ้ก เอ็กๆๆ นกโพระดกหรือนกกะโปกร้องบอกเวลามีภัยบางอย่างเข้ามาหรือร้องหาคู่ โปงใช้ตีบอกเวลาพระไปบิณฑบาตให้โยมในหมู่บ้านได้รู้ล่วงหน้า น้ำชาจืดบอกให้รู้ว่าควรจะเปลี่ยนชาใหม่ได้แล้ว ใบไม้แห้งหล่นปลิวหมายถึงความตาย ผมหงอกขาวสายตายาวบอกว่าเริ่มชราแล้ว มัวหาเรื่องเสียเวลาไปใย ทำไมไม่รีบหาสมบัติใจและเส้นทางวิมุติเล่า เห็นดังนี้ไม่รู้อีกหรือว่า นาฬิกานั้นมีอยู่ทั่วไป สุดแต่ใครจะมีปัญญาอ่านออก ดูออก ไขรหัสนั้นออก ความไม่รู้และความไม่อยากจะรู้นั่นแหละ คือ อวิชชา
เรื่อเรื่อตะวันฉาย เปล่งประกายสาดทอแสง
อรุณจะเริ่มแรง เปล่งประกายสุริยันต์
ไก่ป่ากระชั้นถี่ ราตรีรี่หนีหน้าหัน
กระรอกเสียงชักชวนกัน เต้นยอดไม้หาภักษา
ลมหนาวพัดพราวจิต สะกิดในเตือนใจว่า
ฤดูกาลเปลี่ยนผันมา อายุสั้นทุกวันคืน
เร่งรีบสดับธรรม นำปฏิบัติอย่าขัดขืน
รู้ธรรมรู้โลกยืน หยัดทระนงคงเป็นธรรม
เขียนบนทางเดินจงกรม กุฏิหมายเลข ๓ วัดป่าหนองไผ่ สกลนคร
ฤาษีเอก อมตะ
เช้าตรู่วันเสาร์ ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
ความเป็นจริงของการดำเนินชีวิตหลายวันมานี้ ต้องยอมยกให้ความหอมกรุ่นละมุนละไมของชาอู่หลงก้านอ่อนจากอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย หลายครั้งคราที่มีความเหน็ดเหนื่อยและเงียบเหงา การเลือกชา การต้มน้ำให้เดือด การเตรียมอุปกรณ์การชงทั้งป้านชา ถ้วยชา รูปลักษณ์และสีสัน การชงและการเตรียมจิตใจ ตลอดทั้งการจิบชิมอย่างละเลียดละเมียดบรรจง ให้เกียรติแก่ชา เหล่านี้เรียกว่า วิถีแห่งชา น้อยคนนักที่จะเข้าใจ ในสำนวนหนังสือจีนกำลังภายใจจึงพูดถึงจอมยุทธ์ทั้งหลายว่า ถ้าหากจอมยุทธ์ใดมีความรู้ให้แตกฉานเพียงหนึ่งในห้าอย่าง ผู้นั้นจัดว่าเป็นยอดจอมยุทธ์ ซึ่งทั้งห้าอย่างได้แก่ กระบี่ หมากรุก อักษร ชา และสุรา จึงไม่แปลกที่เมื่อมาอาศัยในป่าที่ร่มครึ้มเย็นสงบของวัดป่าหนองไผ่แห่งนี้ เพื่อนแท้ที่ได้พึ่งพาอาศัยได้แก่ ชา เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ ชา จึงต้องเขียนคำคล้องจองไว้ซักบท
ระบำยอดชา
ยามหนาวลมพัดหนาว ระรานร้าวเข้าดวงจิต
กองไฟจะรอนริด สุมฟืนเข้าเฝ้ากันหนาว
ยกกามาต้มน้ำ ไอเดือดพร่ำผุดฟองพราว
ไอน้ำหรือไอหนาว คละคลุ้งให้ไหลปนกัน
ป้านชาน้อยเพียงนิด จะลิขิตความหมายมั่น
ยอดชาใส่ลงพลัน อู่หลงขอดกอดเม็ดชา
น้ำร้อนรินลงราด ให้นวยนาดคลายปรารถนา
คลี่บานปานนภา เมฆขาวพราวเริงระบำ
น้ำร้อนรินซ้ำสอง ชาเริ่มมองดูบานฉ่ำ
คลี่คลายขยายคำ ครวญครุ่นคิดพินิจความ
ชาบานไม่เย็นชา กรุ่นอุราวะวาบหวาม
หอมหวนอบอวนยาม จิบอู่หลงโต้ลมหนาว
ชาบานสรานจิต หวังชีวิตพิสุทธิ์พราว
กรุ่นไอหอมหวนคราว ชิมยอดชาซึ้งอารมณ์
รินหลั่งจากป้านชา ยิ่งสุราหรือมาข่ม
ชาหอมชวนดอมดม จิบค่ำเช้าพราวกาพย์กลอน
วิถีแห่งยอดชา มีคุณค่าไม่หลอกหลอน
กลางป่าเนินดินดอน ชารสหอมไม่เสื่อมคลาย
วิถีแห่งสุรา เมาเหมือนบ้าดูน่าหน่าย
เสียคนมามากมาย มวลมิตรแตกแยกจากกัน
ระบำแห่งยอดชา เสพยิ่งพาจิตสุขสันต์
ค่ำคืนทิวาวัน จิบยอดชาพาสุขใจ
เขียนที่ข้างกองไฟปลายทางเดินจงกรมกุฏิหมายเลข ๓
ขณะชงชาโต้ลมหนาวดูธรรมชาติงาม วัดป่าหนองไผ่ จังหวัดสกลนคร
ฤาษีเอก อมตะ
เช้าตรู่ เวลา ๐๗.๒๐ น. วันเสาร์ ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
กลุ่มรูปที่ ๓๔ ต้มน้ำร้อนชงชาอู่หลง อาชิง เจ้าของร้านชา ชิงชิง บ้านสบรวก
สามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ส่งมาให้ชิมเป็นประจำ
เวลา ๙ นาฬิกา เดินทางออกจากวัดป่าหนองไผ่เพื่อมาในเมืองสกลนคร แวะตลาดสมเกียรติ เพราะวันเกิดทั้งทีไม่ได้ทำทานให้ผู้ทุกข์ยากลำบากก็ดูกระไรอยู่ แวะเข้าไปที่แผงขายผักของคุณยายจูขอซื้อผัก ฟักทอง มะละกอ มะเขือเทศ กระเทียม หัวหอม ดอกไม้ อื่น ๆ จำนวน ๕๐๐ บาท แล้วแต่จะจัดให้ คุณยายจูไม่ขอรับเงินและขอร่วมบุญด้วย แถมให้สามล้อขนไปใส่รถให้ด้วยพร้อมกับบอกว่า มีงานบุญที่ใดให้มาบอก บุญไม่มีซื้อขาย อยากได้ต้องทำเอง คุณยายตุ๊กแกเจ้าของตลาดตุ๊กแกก็ฝากข้าวกล้องมาด้วยหลายถุง ขอกราบขอบพระคุณที่ร่วมบุญด้วย
รูปที่ ๓๕ คุณยายจูตลาดสมเกียรติผู้มีจิตใจดีงาม
ขับรถไปถวายที่วัดคำประมง หลวงตาปพนพัชน์ไม่สบายเลยเอาไปฝากไว้โรงครัวให้แม่ชีทำอาหารถวายพระและแบ่งผู้ป่วยตามเหมาะสม หลวงตาให้เด็กเตรียมอาหารเที่ยงไว้รอ หลังทานข้าวแวะไปที่กุฏิประภาศรีนอนพักและให้ไอ้หนุ่มไทโส้ทำสะอาดดายหญ้าข้างกุฏิและรดน้ำต้นไม้ไม้ดอกข้างกุฏิให้ ส่วนเราก็นอนหลับไปจนบ่าย ๔ โมง ตื่นมาไอ้หนุ่มไทโส้บอกว่าระหว่างดายหญ้ามีผู้หญิงนุ่งชุดขาวมายืนดูเขาทำงานที่ประตูกุฏิ สงสัยเทวดาเฝ้ากุฏิมานิมิตให้เห็น กลับมาบ้านสกลนครเตรียมสิ่งของรอเดินทางไปวัดป่าหนองไผ่
เวลา ๓ ทุ่มกว่าออกจากบ้านขับรถตองห้ามาถึงวัดป่าหนองไผ่เผื่อก่อไฟเก็บของเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึง ๔ ทุ่มแล้ว หาหมอนผ้าห่มผ้าผวยมานั่งกรรมฐานที่ทางเดินจงกรมจนเกือบห้าทุ่ม สุมฟืนเข้ากองไฟพอลุกโชนแล้วนอนหันหัวเข้าหากองไฟ หลับไปไม่ฝันอะไรเลย
15.วันที่ห้าแห่งการปฏิบัติธรรม ....วันศุกร์ ที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ ให้ที่พัก
วันที่ห้าแห่งการปฏิบัติธรรม
ประมาณตี ๔ กว่า ตื่นขึ้นมากลางดึกควานหาไฟฉายกับไม้ขีดจุดเทียนพอเห็นแสง อากาศหนาวเหน็บมาก ลุกมานั่งกรรมฐาน โชคดีที่งูมาขอแบ่งกุฏิที่พักและแบ่งที่นอนรองพื้นกันหนาวจากซีเมนต์มาให้ และได้ผ้าผวยนุ่ม ๆ มาอีกผืนหนึ่ง จึงพอประทังได้บ้าง แต่เปรียบเทียบดูแล้วทั้งสองคืนที่ผ่านมานอนบนทางเดินจงกรมอากาศหนาวเย็นไม่ต่างกัน วันแรกหนาวเย็นนอนไม่มีผ้าห่ม วันที่สองหนาวกว่าแต่มีผ้าห่มบ้าง แต่ทั้งสองวันได้จิบชา อู่หลงก้านอ่อนหอมละมุนเคล้าสายลมหนาวและหมอกโชยสายรางรินพอเย็นลึกล้ำ แค่นี้ก็เป็นสุขที่ไม่เจืออามิสแล้ว หนาวกายใจยังพอทนได้ แต่หนาวกิเลสช่างน่ากลัวยิ่งนัก
หนาวกายห่มผ้าให้ คลายหนาว
หนาวใจผ่อนลงคราว เคียงใกล้
หนาวลมเริงลมราว หลบลี้ เคหาสน์
หนาวกิเลสนั่นไซร้ ห่อนรู้คลายหนาว
เขียนระหว่างนั่งบนทางเดินจงกรม กุฏิหลังที่ ๓
ฤาษีเอก อมตะ
วันศุกร์ ที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
เวลาหกโมงเช้า ลงไปที่ศาลาเพื่อเอากล้องถ่ายรูปกับสมุดบันทึกและปากกาจะถ่ายรูปงูที่กุฏิ ท่านพระอาจารย์สุธรรมนั่งรอลูกศิษย์คณะพระเณรจะไปบิณฑบาตอยู่พอดี เข้าไปกราบท่าน ท่านก็เอ่ยปากสนทนาวิสาสะว่า หนาวมากไหม แล้วให้โอวาทตอนเช้า แต่ขอเรียกว่า ธรรมะรับอรุณ ดังนี้
“คนเราควรมีสมบัติทางใจให้มาก ทั้งนี้มิได้ปฏิเสธสมบัติทางกายว่าเป็นสิ่งที่ควรแสวงหา แต่มันจะอยู่กับเราได้ไม่เกิน ๑๐๐ ปี สมบัติเหล่านั้นก็ต้องพรากจากเราไปเสียแล้ว แต่สมบัติทางใจที่เกิดจากการบำเพ็ญภาวนานั้น ถึงแม้ว่าเราจะหมดลมหายใจไปแล้ว สมบัตินั้นก็ยังคงติดตามเราตลอดไป ดังนั้นไม่ว่าฆราวาส คฤหัสถ์ บรรพชิต ควรพิจารณาหาสมบัติทางใจไว้มาก ๆ จะได้นำไปไว้ตลอดไปมิให้สูญหาย ส่วนสมบัติกายนั้นก็หาไปเท่าที่จะทำได้ อย่าหลงกับมันมากเกินไป แต่สมบัติใจให้มีมากยิ่งขึ้นไป”
รูปที่ ๓๐ หลวงพ่อพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม ให้โอวาท ธรรมะรับอรุณ
ฟังธรรมะรับอรุณด้วยความปลาบปลื้มใจแล้วเดินไปเอากล้องถ่ายรูปที่รถยนต์อิซูซุ หมายเลขทะเบียน บ 6555 เพื่อมาถ่ายรูปงูในกุฏิตัวใหญ่เข้าใจว่า จะเป็นงูสิงห์ทองหรืองูก้านตาว ภาษาฝรั่งว่างู Pytus หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้ว เก็บสิ่งของเครื่องใช้จะเดินทางไปในเมืองสกลนคร ท่านพระอาจารย์สุธรรมมีเมตตาร้องบอกว่า ให้ไปทานข้าวก่อนที่โรงครัวก่อน ด้วยความเกรงใจในความเมตตาปราณีของท่านจึงต้องระเห็จไปโรงครัว เจอโยมป้าเจ้าของร้านค้า ผู้ฐานะดีมีกะตังส์มากมายขายสินค้าในเมืองสกลนคร ผู้รวยทั้งเงินและน้ำใจแต่ไม่หยิ่ง ซ้ำใจดีอย่างมากร้องเรียกไปทานอาหารเช้าด้วยกันซึ่งมีอยู่มากมาย หลายขนาน คุณป้าหลายท่านพอรู้ว่าเราเป็นใครต่างรุมให้คำแนะนำเรื่องการเตรียมตัวเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น บางท่านบอกว่าให้เอาถุงพลาสติคขนาดใหญ่ที่คนสวมได้ไปด้วย โดยให้นำมาตัดเป็นเสื้อกั๊กใส่กันหนาว หรือใช้เสื้อร่มพลาสติคกันฝนแทนก็ได้ ส่วนของฝากให้เอาผ้าขาวม้าทอมือจาก อบต.บ้านโพนไปฝากท่าจะดี เพราะใช้งานได้หลายประการ
เวลาประมาณสิบโมงเช้ากลับจากวัดเซ็นเวลาทำงานแล้วไปแผนกดูงานมากมายจนบ่ายโมงกว่า กลับบ้านอาบน้ำท่า ซักผ้าเสร็จแล้วไปออกกำลังไดร์ฟกอล์ฟที่ปลื้มมโน ไดร์วิ่งเรนจ์ ขากลับแวะไปที่วิทยาลัยแก้ไขงานให้พรรคพวก เสร็จแล้วกลับมาบ้านอาบน้ำแต่งตัว ดูข่าวรอจนถึงสี่ทุ่มครึ่ง เดินทางขับรถไปวัดป่าหนองไผ่ช้า ๆ พิจารณาลมหายใจไปเรื่อย ว่าลมหายใจเข้า ไม่หายใจออกก็ตาย ลมหายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย จึงให้มีสติดูการเคลื่อนที่เข้าออกของลมหายใจตลอดเวลา ถ้าจะมีพุทธานุสติกำกับก็ได้ยิ่งเป็นการดี หายใจเข้า ก็มีสติว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หายใจออก ก็มีสติว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กำกับทุกครั้ง
ถึงวัดเวลาหกทุ่มเพราะเสียเวลาแวะซื้ออาหารว่างทานรองท้องพร้อมกาแฟ (ไม่ได้สมาทานงดอาหารเย็น ทางสายกลางของใครก็พิจารณาตามเหมาะสมของตนเอง อย่าเอาไปเทียบกัน) หลังจากก่อไฟที่หัวทางเดินจงกรมแล้ว ต้มน้ำร้อนจะชงชาระหว่างรอน้ำเดือดนั่งกรรมฐานรอ พอเคลิ้ม ๆนิมิตว่า ผู้หญิงคนหนึ่งสาวสวยเดินอ้อมโค้งมาจากทางฟากก้อนหินปลายทางจงกรมอีกฟากหนึ่ง เธอร้องทักมาว่า “อาจารย์ขา” เลยตื่นจากสมาธิ และในนิมิตแวบหนึ่งเห็นพระสงฆ์อายุมากแล้วยืนอยู่ ๑ รูป นิมิตแบบนี้ อย่าลืมต้องพิจารณาเป็นไตรลักษณ์เสมอ รูปนั้นมีขึ้น ตั้งอยู่ซักครู่ แล้วดับหายไป
สำหรับคืนนี้รู้สึกปวดเส้นเอ็นตรงที่หลังต้นสะบักซ้าย จึงต้องนอนสีหไสยาสหลับไป ตื่นอีกทีไฟในกองมอดแล้ว ต้องสุมฟืนใหม่ให้แสงสว่างและความอบอุ่น คืนนี้ถือผ้าห่มฝรั่งเศสมาและสวมถุงเท้า ๔ ชั้น อากาศหนาวประมาณ ๑๓ องศา พอทนอยู่ได้ ตอนนอนหลับฝันว่า ไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ เป็นผู้ชายคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งถามหาฟืน แต่ยังไม่รู้เรื่องกันเลยตื่นก่อน
ประมาณตี ๔ กว่า ตื่นขึ้นมากลางดึกควานหาไฟฉายกับไม้ขีดจุดเทียนพอเห็นแสง อากาศหนาวเหน็บมาก ลุกมานั่งกรรมฐาน โชคดีที่งูมาขอแบ่งกุฏิที่พักและแบ่งที่นอนรองพื้นกันหนาวจากซีเมนต์มาให้ และได้ผ้าผวยนุ่ม ๆ มาอีกผืนหนึ่ง จึงพอประทังได้บ้าง แต่เปรียบเทียบดูแล้วทั้งสองคืนที่ผ่านมานอนบนทางเดินจงกรมอากาศหนาวเย็นไม่ต่างกัน วันแรกหนาวเย็นนอนไม่มีผ้าห่ม วันที่สองหนาวกว่าแต่มีผ้าห่มบ้าง แต่ทั้งสองวันได้จิบชา อู่หลงก้านอ่อนหอมละมุนเคล้าสายลมหนาวและหมอกโชยสายรางรินพอเย็นลึกล้ำ แค่นี้ก็เป็นสุขที่ไม่เจืออามิสแล้ว หนาวกายใจยังพอทนได้ แต่หนาวกิเลสช่างน่ากลัวยิ่งนัก
หนาวกายห่มผ้าให้ คลายหนาว
หนาวใจผ่อนลงคราว เคียงใกล้
หนาวลมเริงลมราว หลบลี้ เคหาสน์
หนาวกิเลสนั่นไซร้ ห่อนรู้คลายหนาว
เขียนระหว่างนั่งบนทางเดินจงกรม กุฏิหลังที่ ๓
ฤาษีเอก อมตะ
วันศุกร์ ที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
เวลาหกโมงเช้า ลงไปที่ศาลาเพื่อเอากล้องถ่ายรูปกับสมุดบันทึกและปากกาจะถ่ายรูปงูที่กุฏิ ท่านพระอาจารย์สุธรรมนั่งรอลูกศิษย์คณะพระเณรจะไปบิณฑบาตอยู่พอดี เข้าไปกราบท่าน ท่านก็เอ่ยปากสนทนาวิสาสะว่า หนาวมากไหม แล้วให้โอวาทตอนเช้า แต่ขอเรียกว่า ธรรมะรับอรุณ ดังนี้
“คนเราควรมีสมบัติทางใจให้มาก ทั้งนี้มิได้ปฏิเสธสมบัติทางกายว่าเป็นสิ่งที่ควรแสวงหา แต่มันจะอยู่กับเราได้ไม่เกิน ๑๐๐ ปี สมบัติเหล่านั้นก็ต้องพรากจากเราไปเสียแล้ว แต่สมบัติทางใจที่เกิดจากการบำเพ็ญภาวนานั้น ถึงแม้ว่าเราจะหมดลมหายใจไปแล้ว สมบัตินั้นก็ยังคงติดตามเราตลอดไป ดังนั้นไม่ว่าฆราวาส คฤหัสถ์ บรรพชิต ควรพิจารณาหาสมบัติทางใจไว้มาก ๆ จะได้นำไปไว้ตลอดไปมิให้สูญหาย ส่วนสมบัติกายนั้นก็หาไปเท่าที่จะทำได้ อย่าหลงกับมันมากเกินไป แต่สมบัติใจให้มีมากยิ่งขึ้นไป”
รูปที่ ๓๐ หลวงพ่อพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม ให้โอวาท ธรรมะรับอรุณ
ฟังธรรมะรับอรุณด้วยความปลาบปลื้มใจแล้วเดินไปเอากล้องถ่ายรูปที่รถยนต์อิซูซุ หมายเลขทะเบียน บ 6555 เพื่อมาถ่ายรูปงูในกุฏิตัวใหญ่เข้าใจว่า จะเป็นงูสิงห์ทองหรืองูก้านตาว ภาษาฝรั่งว่างู Pytus หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้ว เก็บสิ่งของเครื่องใช้จะเดินทางไปในเมืองสกลนคร ท่านพระอาจารย์สุธรรมมีเมตตาร้องบอกว่า ให้ไปทานข้าวก่อนที่โรงครัวก่อน ด้วยความเกรงใจในความเมตตาปราณีของท่านจึงต้องระเห็จไปโรงครัว เจอโยมป้าเจ้าของร้านค้า ผู้ฐานะดีมีกะตังส์มากมายขายสินค้าในเมืองสกลนคร ผู้รวยทั้งเงินและน้ำใจแต่ไม่หยิ่ง ซ้ำใจดีอย่างมากร้องเรียกไปทานอาหารเช้าด้วยกันซึ่งมีอยู่มากมาย หลายขนาน คุณป้าหลายท่านพอรู้ว่าเราเป็นใครต่างรุมให้คำแนะนำเรื่องการเตรียมตัวเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น บางท่านบอกว่าให้เอาถุงพลาสติคขนาดใหญ่ที่คนสวมได้ไปด้วย โดยให้นำมาตัดเป็นเสื้อกั๊กใส่กันหนาว หรือใช้เสื้อร่มพลาสติคกันฝนแทนก็ได้ ส่วนของฝากให้เอาผ้าขาวม้าทอมือจาก อบต.บ้านโพนไปฝากท่าจะดี เพราะใช้งานได้หลายประการ
เวลาประมาณสิบโมงเช้ากลับจากวัดเซ็นเวลาทำงานแล้วไปแผนกดูงานมากมายจนบ่ายโมงกว่า กลับบ้านอาบน้ำท่า ซักผ้าเสร็จแล้วไปออกกำลังไดร์ฟกอล์ฟที่ปลื้มมโน ไดร์วิ่งเรนจ์ ขากลับแวะไปที่วิทยาลัยแก้ไขงานให้พรรคพวก เสร็จแล้วกลับมาบ้านอาบน้ำแต่งตัว ดูข่าวรอจนถึงสี่ทุ่มครึ่ง เดินทางขับรถไปวัดป่าหนองไผ่ช้า ๆ พิจารณาลมหายใจไปเรื่อย ว่าลมหายใจเข้า ไม่หายใจออกก็ตาย ลมหายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย จึงให้มีสติดูการเคลื่อนที่เข้าออกของลมหายใจตลอดเวลา ถ้าจะมีพุทธานุสติกำกับก็ได้ยิ่งเป็นการดี หายใจเข้า ก็มีสติว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หายใจออก ก็มีสติว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กำกับทุกครั้ง
ถึงวัดเวลาหกทุ่มเพราะเสียเวลาแวะซื้ออาหารว่างทานรองท้องพร้อมกาแฟ (ไม่ได้สมาทานงดอาหารเย็น ทางสายกลางของใครก็พิจารณาตามเหมาะสมของตนเอง อย่าเอาไปเทียบกัน) หลังจากก่อไฟที่หัวทางเดินจงกรมแล้ว ต้มน้ำร้อนจะชงชาระหว่างรอน้ำเดือดนั่งกรรมฐานรอ พอเคลิ้ม ๆนิมิตว่า ผู้หญิงคนหนึ่งสาวสวยเดินอ้อมโค้งมาจากทางฟากก้อนหินปลายทางจงกรมอีกฟากหนึ่ง เธอร้องทักมาว่า “อาจารย์ขา” เลยตื่นจากสมาธิ และในนิมิตแวบหนึ่งเห็นพระสงฆ์อายุมากแล้วยืนอยู่ ๑ รูป นิมิตแบบนี้ อย่าลืมต้องพิจารณาเป็นไตรลักษณ์เสมอ รูปนั้นมีขึ้น ตั้งอยู่ซักครู่ แล้วดับหายไป
สำหรับคืนนี้รู้สึกปวดเส้นเอ็นตรงที่หลังต้นสะบักซ้าย จึงต้องนอนสีหไสยาสหลับไป ตื่นอีกทีไฟในกองมอดแล้ว ต้องสุมฟืนใหม่ให้แสงสว่างและความอบอุ่น คืนนี้ถือผ้าห่มฝรั่งเศสมาและสวมถุงเท้า ๔ ชั้น อากาศหนาวประมาณ ๑๓ องศา พอทนอยู่ได้ ตอนนอนหลับฝันว่า ไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ เป็นผู้ชายคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งถามหาฟืน แต่ยังไม่รู้เรื่องกันเลยตื่นก่อน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)