วันที่ห้าแห่งการปฏิบัติธรรม
ประมาณตี ๔ กว่า ตื่นขึ้นมากลางดึกควานหาไฟฉายกับไม้ขีดจุดเทียนพอเห็นแสง อากาศหนาวเหน็บมาก ลุกมานั่งกรรมฐาน โชคดีที่งูมาขอแบ่งกุฏิที่พักและแบ่งที่นอนรองพื้นกันหนาวจากซีเมนต์มาให้ และได้ผ้าผวยนุ่ม ๆ มาอีกผืนหนึ่ง จึงพอประทังได้บ้าง แต่เปรียบเทียบดูแล้วทั้งสองคืนที่ผ่านมานอนบนทางเดินจงกรมอากาศหนาวเย็นไม่ต่างกัน วันแรกหนาวเย็นนอนไม่มีผ้าห่ม วันที่สองหนาวกว่าแต่มีผ้าห่มบ้าง แต่ทั้งสองวันได้จิบชา อู่หลงก้านอ่อนหอมละมุนเคล้าสายลมหนาวและหมอกโชยสายรางรินพอเย็นลึกล้ำ แค่นี้ก็เป็นสุขที่ไม่เจืออามิสแล้ว หนาวกายใจยังพอทนได้ แต่หนาวกิเลสช่างน่ากลัวยิ่งนัก
หนาวกายห่มผ้าให้ คลายหนาว
หนาวใจผ่อนลงคราว เคียงใกล้
หนาวลมเริงลมราว หลบลี้ เคหาสน์
หนาวกิเลสนั่นไซร้ ห่อนรู้คลายหนาว
เขียนระหว่างนั่งบนทางเดินจงกรม กุฏิหลังที่ ๓
ฤาษีเอก อมตะ
วันศุกร์ ที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
เวลาหกโมงเช้า ลงไปที่ศาลาเพื่อเอากล้องถ่ายรูปกับสมุดบันทึกและปากกาจะถ่ายรูปงูที่กุฏิ ท่านพระอาจารย์สุธรรมนั่งรอลูกศิษย์คณะพระเณรจะไปบิณฑบาตอยู่พอดี เข้าไปกราบท่าน ท่านก็เอ่ยปากสนทนาวิสาสะว่า หนาวมากไหม แล้วให้โอวาทตอนเช้า แต่ขอเรียกว่า ธรรมะรับอรุณ ดังนี้
“คนเราควรมีสมบัติทางใจให้มาก ทั้งนี้มิได้ปฏิเสธสมบัติทางกายว่าเป็นสิ่งที่ควรแสวงหา แต่มันจะอยู่กับเราได้ไม่เกิน ๑๐๐ ปี สมบัติเหล่านั้นก็ต้องพรากจากเราไปเสียแล้ว แต่สมบัติทางใจที่เกิดจากการบำเพ็ญภาวนานั้น ถึงแม้ว่าเราจะหมดลมหายใจไปแล้ว สมบัตินั้นก็ยังคงติดตามเราตลอดไป ดังนั้นไม่ว่าฆราวาส คฤหัสถ์ บรรพชิต ควรพิจารณาหาสมบัติทางใจไว้มาก ๆ จะได้นำไปไว้ตลอดไปมิให้สูญหาย ส่วนสมบัติกายนั้นก็หาไปเท่าที่จะทำได้ อย่าหลงกับมันมากเกินไป แต่สมบัติใจให้มีมากยิ่งขึ้นไป”
รูปที่ ๓๐ หลวงพ่อพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม ให้โอวาท ธรรมะรับอรุณ
ฟังธรรมะรับอรุณด้วยความปลาบปลื้มใจแล้วเดินไปเอากล้องถ่ายรูปที่รถยนต์อิซูซุ หมายเลขทะเบียน บ 6555 เพื่อมาถ่ายรูปงูในกุฏิตัวใหญ่เข้าใจว่า จะเป็นงูสิงห์ทองหรืองูก้านตาว ภาษาฝรั่งว่างู Pytus หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้ว เก็บสิ่งของเครื่องใช้จะเดินทางไปในเมืองสกลนคร ท่านพระอาจารย์สุธรรมมีเมตตาร้องบอกว่า ให้ไปทานข้าวก่อนที่โรงครัวก่อน ด้วยความเกรงใจในความเมตตาปราณีของท่านจึงต้องระเห็จไปโรงครัว เจอโยมป้าเจ้าของร้านค้า ผู้ฐานะดีมีกะตังส์มากมายขายสินค้าในเมืองสกลนคร ผู้รวยทั้งเงินและน้ำใจแต่ไม่หยิ่ง ซ้ำใจดีอย่างมากร้องเรียกไปทานอาหารเช้าด้วยกันซึ่งมีอยู่มากมาย หลายขนาน คุณป้าหลายท่านพอรู้ว่าเราเป็นใครต่างรุมให้คำแนะนำเรื่องการเตรียมตัวเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น บางท่านบอกว่าให้เอาถุงพลาสติคขนาดใหญ่ที่คนสวมได้ไปด้วย โดยให้นำมาตัดเป็นเสื้อกั๊กใส่กันหนาว หรือใช้เสื้อร่มพลาสติคกันฝนแทนก็ได้ ส่วนของฝากให้เอาผ้าขาวม้าทอมือจาก อบต.บ้านโพนไปฝากท่าจะดี เพราะใช้งานได้หลายประการ
เวลาประมาณสิบโมงเช้ากลับจากวัดเซ็นเวลาทำงานแล้วไปแผนกดูงานมากมายจนบ่ายโมงกว่า กลับบ้านอาบน้ำท่า ซักผ้าเสร็จแล้วไปออกกำลังไดร์ฟกอล์ฟที่ปลื้มมโน ไดร์วิ่งเรนจ์ ขากลับแวะไปที่วิทยาลัยแก้ไขงานให้พรรคพวก เสร็จแล้วกลับมาบ้านอาบน้ำแต่งตัว ดูข่าวรอจนถึงสี่ทุ่มครึ่ง เดินทางขับรถไปวัดป่าหนองไผ่ช้า ๆ พิจารณาลมหายใจไปเรื่อย ว่าลมหายใจเข้า ไม่หายใจออกก็ตาย ลมหายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย จึงให้มีสติดูการเคลื่อนที่เข้าออกของลมหายใจตลอดเวลา ถ้าจะมีพุทธานุสติกำกับก็ได้ยิ่งเป็นการดี หายใจเข้า ก็มีสติว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หายใจออก ก็มีสติว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กำกับทุกครั้ง
ถึงวัดเวลาหกทุ่มเพราะเสียเวลาแวะซื้ออาหารว่างทานรองท้องพร้อมกาแฟ (ไม่ได้สมาทานงดอาหารเย็น ทางสายกลางของใครก็พิจารณาตามเหมาะสมของตนเอง อย่าเอาไปเทียบกัน) หลังจากก่อไฟที่หัวทางเดินจงกรมแล้ว ต้มน้ำร้อนจะชงชาระหว่างรอน้ำเดือดนั่งกรรมฐานรอ พอเคลิ้ม ๆนิมิตว่า ผู้หญิงคนหนึ่งสาวสวยเดินอ้อมโค้งมาจากทางฟากก้อนหินปลายทางจงกรมอีกฟากหนึ่ง เธอร้องทักมาว่า “อาจารย์ขา” เลยตื่นจากสมาธิ และในนิมิตแวบหนึ่งเห็นพระสงฆ์อายุมากแล้วยืนอยู่ ๑ รูป นิมิตแบบนี้ อย่าลืมต้องพิจารณาเป็นไตรลักษณ์เสมอ รูปนั้นมีขึ้น ตั้งอยู่ซักครู่ แล้วดับหายไป
สำหรับคืนนี้รู้สึกปวดเส้นเอ็นตรงที่หลังต้นสะบักซ้าย จึงต้องนอนสีหไสยาสหลับไป ตื่นอีกทีไฟในกองมอดแล้ว ต้องสุมฟืนใหม่ให้แสงสว่างและความอบอุ่น คืนนี้ถือผ้าห่มฝรั่งเศสมาและสวมถุงเท้า ๔ ชั้น อากาศหนาวประมาณ ๑๓ องศา พอทนอยู่ได้ ตอนนอนหลับฝันว่า ไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ เป็นผู้ชายคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งถามหาฟืน แต่ยังไม่รู้เรื่องกันเลยตื่นก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น