วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

18.ปัจฉิมบท

ปัจฉิมบท
ในชีวิตของมนุษย์เราที่เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง เคยมีใครได้ถามตนเองและพิจารณาตนเองบ้างไหมว่า เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อหวังสิ่งใด สำหรับทัศนะของผู้เขียน มนุษย์เราเกิดมาเพื่อการปฎิบัติธรรมและทำประโยชน์ของตนเองให้สมบูรณ์ตามฐานานุรูปแล้วให้เผื่อแผ่ประโยชน์นั้นเพื่อผู้อื่นบ้างตามกำลังความสามารถของตน ในพระไตรปิฎกได้พูดถึงการปฎิบัติธรรม การทำดีด้วยกาย วาจา ใจ การละกิเลส ทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด การกล่าวอ้างว่า ไม่มีเวลาในการปฎิบัติธรรม จึงเป็นการกล่าวอ้างของผู้ขาดสติ ขาดความเคารพและไม่เข้าใจซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา การปฎิบัติธรรมนั้นย่อมมีอยู่ทุกเวลา ทุกขณะจิต และทุกลมหายใจ ฆราวาสญาติโยม อุบาสก อุบาสิกานี้แหละควรต้องฝึกปฎิบัติ สมถกรรมฐานและวิปัสนากรรมฐานให้มาก เพราะเรามีข้อทดสอบ เรามีเรื่องมากระทบจิตใจตลอดเวลา ทั้งเรื่องหน้าที่ การงาน ครอบครัว สังคมและความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตที่มีศิลปะดีงาม คือชีวิตที่ดำรงด้วยการปฎิบัติธรรมนั่นเอง ใครยิ่งทำให้มากมายเท่าใด ละเอียดลึกซึ้งสุขุมแนบแน่นมั่นคงในจิตมากเท่าใด ผู้นั้นยิ่งจะมีความสุขมากยิ่งขึ้นไป จนสุดท้ายเป็นความสุขขั้นวิมุติไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
พระพุทธองค์สอนให้เรารู้จักให้ทานเป็นการสร้างทานบารมีอันเป็นข้อแรกในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ การปฎิบัติธรรมแล้ว นำมาบอกกล่าวเป็นการให้ทานธรรมะ การบอกธรรมะ การเผยแผ่ธรรมะ เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ปฎิบัติเป็นตัวอย่างของชาวพุทธ ในพระวินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค เรื่อง เวรัญชพราหมณ์ พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เวรัญชพราหมณ์ทราบข่าวว่าพระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูปเสด็จมา และพระกิตติศัพท์อันงามของพระองค์นั้น ขจรไปแล้วว่า พระผู้มีพระภาคองค์นั้น ทรงเป็นพระอรหันต์ ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงบรรลุวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแม้ ทรงทราบโลก ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า ทรงเป็นศาสดาของเทพและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงเป็นพุทธะ ทรงเป็นพระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทพ และมนุษย์ ให้รู้ ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์ อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายปานนั้น เป็นความดี
แม้กิตติศัพท์ชื่อเสียงของพระพุทธองค์ขจรไปไกลขนาดนั้น เวรัญชพราหมณ์เมื่อไปพุทธสำนักก็ยังกล่าวตู่พระพุทธเจ้าต่างๆ นานา เช่นไม่รู้จักรับไหว้ ไม่ลุกมาต้อนรับพราหมณ์ ปกติไม่ใยดี ไม่มีสมบัติ การไม่กระทำ ความขาดสูญ การกำจัด การเผาผลาญ การไม่เกิด ความน่ารังเกียจ พระพุทธองค์ทรงตอบแก้ไขข้อกล่าวหาด้วยธรรมะทั้งเรื่องการไม่กระทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ตลอดถึงการสรุปเรื่อง รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ และเล่าถึงมรรคผลของการปฎิบัติที่พระองค์สำเร็จแล้วตั้งแต่ฌาน ๔ และวิชชา ๓ ทรงอธิบายปฐมฌาน ว่า เรานั้นแล สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม ได้บรรลุปฐมฌาน มีวิตก
มีวิจาร มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่วิเวกอยู่.
ทรงอธิบายทุติยฌาน ว่า เราได้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตก วิจาร สงบไป มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่สมาธิอยู่.
ทรงอธิบายตติยฌาน ว่า เรามีอุเบกขาอยู่ มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
ได้บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสุขอยู่ ดังนี้ อยู่.
ทรงอธิบายจตุตถฌาน ว่า เราได้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ มี อุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.
จากนั้นพระพุทธองค์ได้อธิบายว่าเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ อันเป็นญาณในการระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก ได้น้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ อันเป็นญาณเครื่องรู้จุติและอุปบัติ
ของสัตว์ทั้งหลาย ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ อันเป็นญาณตามเป็นจริงเกี่ยวกับอริยสัจจ์ ๔ และอาสวะกิเลส ว่า นี้คือทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เหล่านี้ อาสวะ นี้เหตุให้เกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้ หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ได้มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลสส่งจิตไปแล้วอยู่
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสอย่างนี้แล้ว เวรัญชพราหมณ์ได้ทูลกล่าวคำยกย่องสรรเสริญพระพุทธองค์ว่า เป็นผู้เจริญที่สุด เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งไพเราะนัก ประกาศธรรมโดย อเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ และขอนับถือพระพุทธองค์ พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ และขอเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต และอาราธนาพระพุทธองค์ให้อยู่จำพรรษาที่เมืองเวรัญชา
มนุษย์เกิดมาในโลกนี้มีความเท่าเทียมกันอยู่อย่างน้อย ๒ อย่าง คือ กรรม และ เวลา พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ดูกรมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ตนเป็นผู้รับมรดกแห่งกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมนั่นเองย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวบ้าง ให้ดีบ้าง แสดงให้เห็นว่า บุคคลสั่งสมกรรมอย่างใดย่อมได้รับผลแห่งกรรมอย่างนั้น ประกอบกรรมอันนำไปสู่ความเป็นอย่างใด ย่อมได้รับความเป็นอย่างนั้น คือ ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว ส่วนเวลานั้น ใช้กำหนดลงไปสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใต้ฟ้าล้วนเกี่ยวพันกับเวลา สิ่งที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ควรใส่ใจให้มากยิ่งขึ้นไปได้แก่ เวลาแห่งการทำคุณงามความดีและเวลาที่รู้จะละเว้นความชั่วทั้งมวล
ในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวปริศนาธรรมไว้ว่า "มียักษ์อยู่ตนหนึ่ง มีตาอยู่ 2 ข้าง ข้างหนึ่งสว่าง อีกข้างหนึ่งริบหรี่ มีปากอยู่ 12 ปาก มีฟันไม่มาก แต่ละปากมี 30 ซี่ กินสัตว์ทั่วทั่งปฐพี ยักษ์ตนนี้คือใคร?" คำเฉลยนั้นกล่าวว่า ยักษ์ตนนี้ก็คือพระกาล หมายถึงกาลเวลานั่นเอง ตา 2 ตา หมายถึงเวลากลางวันและกลางคืน ปาก 12 ปาก หมายถึงในรอบ 1 ปี มี 12 เดือน และฟัน 30 ซี่ หมายถึงแต่ละเดือนมี 30 วัน กาลเวลายิ่งผ่านล่วงเลยไป ยิ่งกลืนกินชีวิตมนุษย์ และสัตว์พร้อมทั้งตัวมันเองด้วย
ครั้งหนึ่งนานมาแล้วผู้เขียนได้ไปกราบฟังธรรมกับหลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดภูจ้อก้อ อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ท่านได้กล่าวว่า กาลเวลากลืนกินทุกสรรพสิ่ง แม้แต่เทวดา มารพรหมก็ไม่เว้น พระพุทธองค์ทรงแนะให้พุทธบริษัทอุบาสก อุบาสิกา พิจารณาทุกวันว่า เรามีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความเกิดแก่ เจ็บ ตายไปได้ เมื่อมรณะกาลมาถึง เราจะต้องละทิ้งทุกสรรพสิ่งที่เรายึดมั่น ถือมั่นว่าเป็นของเราไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้อย่างยากลำบากลาภ ยศ สรรเสริญ ศักดิ์ศรี ฐานะ ความเป็นอยู่ ความหล่อ ความสวย ลูกผัวตัวตนเมียรัก ต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ก็ตาม จะมีก็แต่ผลของกรรมเท่านั้นที่ติดตามฝังไว้ในสภาวะจิตและไปก่อกำเนิดในภพภูมิใหม่ตามผลกรรมของตนที่สร้างมา ดังนั้น จึงควรทำความดีให้มาก
การบันทึกการปฎิบัติธรรมและผลของการปฎิบัติธรรม ตลอดทั้งแนวทางในการแก้ไขในช่วง ๗ ราตรีที่วัดป่าหนองไผ่ รวมทั้งการฟังโอวาทธรรมจากหลวงพ่อพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม ผสมผสานกับการทำงานทางโลกโดยปลีกเวลา แบ่งเวลา หรือผสานเวลาให้ลงตัวตามความเหมาะสมของผู้เขียนคงจะพอเป็นแนวทางในการทำความดีทาง กาย วาจา ใจ ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมากสำหรับผู้ที่บำเพ็ญภาวนาอย่างเคร่งครัด แต่ก็อาจเป็นตัวอย่างให้นำไปปฎิบัติธรรมตามกำลังทางสายกลางแห่งตน ผู้เขียนกราบขอขมาอโหสิกรรมต่อพระพุทธองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ อริยบุคคล ครูบาอาจารย์ทุกท่าน หากมีส่วนหนึ่งส่วนใดที่ผิดพลาดพลั้งไปในผลของการปฏิบัติและแนวทางแก้ไข ขอได้โปรดอดโทษและงดโทษนั้นและพร้อมที่จะรับฟังคำชี้แนะการปฎิบัติจากทุกท่านด้วย
กุศลผลบุญทุกประการที่เกิดขึ้นจากหนังสือนี้ ขอถวายแด่หลวงพ่อพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม วัดป่าหนองไผ่ ตลอดทั้งพระสงฆ์ทุกพระองค์ในพระพุทธศาสนา อุบาสก อุบาสิกาทุกท่านที่ช่วยเหลือค้ำจุนเผยแผ่พระพุทธศาสนา คุณพ่อ ตงเค่งเซ็ง คุณแม่ราศี ตงศิริ ญาติพี่น้องผู้มีพระคุณทุกท่าน ตลอดจนทุกท่านพร้อมครอบครัวดังรายนามท้ายเล่มที่ได้สละทรัพย์ร่วมในการจัดพิมพ์และผู้อ่านทุกท่านที่ได้รับหนังสือนี้ ขอจงเป็นผู้ที่เจริญในปัญญาบารมี มีดวงตาเห็นธรรม ได้มีโอกาสปฎิบัติธรรม และบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในชาตินี้ด้วยเถิด

วรวิทย์ ตงศิริ
วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๒

ไม่มีความคิดเห็น: