วันที่หกแห่งการปฏิบัติธรรม
วันเสาร์ ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
หลักธรรม ระบำชา
ดูนาฬิกาเวลาตีสามพอดีลุกมาเดินจงกรม เสียงย่ำกลองดึกของวัดที่อยู่ไกลๆ ดังตุ้มโมงๆๆ อือ........ มาตามสายลม คืนนี้ลมพัดอ่อนรวยรินไม่รุนแรง เสียงกบเขียดร้องระงมที่ริมห้วยก้องป่า ท่อนฟืนลุกติดเปลวไฟดังเปลี๊ยะ ๆ เปลวไฟลามเลียพึบพับหวังว่าคงได้ชงชาอีกซักกาแน่ เดินจงกรมไม่นานมานั่งกรรมฐานต่อเห็นสมควรแก่เวลานอนตะแคงสีหไสยาสน์ด้านซ้ายเอาแขนซ้ายหนุนขมับ หลับไปในท่านั้น
กลุ่มรูปที่ ๓๑ เดินจงกรมตอนตีสามอาศัยแสงเทียนส่องนำทาง
เวลาตีห้าครึ่งรู้ตัวตื่นขึ้นมาแขนเป็นเหน็บเลย สายลมหนาวโชยพัดมา กองไฟยังลุกโชนพอได้อาศัยความร้อนมาขับไล่ความเย็นเยือก เลยชงชาดื่มอีกหนึ่งป้าน ตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มทอแสงเรื่อเรืองมาอีกแล้ว ท่านพระสุริยเทพไม่เคยคดโกงคอรับชั่นเวลาเหมือนมนุษย์ หากมนุษย์เราจะมีคำสัจจะดั่งตะวันคงจะดีมาก สัจจัง เว อมตะวาจา ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ความร้อนจากกองไฟยามลุกโชนได้ขับไล่ความหนาวเหน็บเยือกเย็น มนุษย์เราก็เช่นกัน ยามสุขมาก ทุกข์ก็น้อย ยามทุกข์มากสุขก็น้อย ความจริงแล้ว พระท่านว่าความสุขหาได้มีไม่ มีแต่ความทุกข์ครอบครองอยู่ จึงบอกกฎให้เราสำนึกว่า อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าพอมีสติบ้าง เอากฎอริยสัจ ๔ นี้ มาพิจารณาทุกเรื่องราวแล้ว เราก็คงจะเห็นจริงดั่งนั้น เกิดมาก็ทุกข์ โตมา(แก่)ก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ ก่อนตายก็ทุกข์ ตายแล้วยิ่งทุกข์ ในมหาภูตรูป ๔ จึงเป็นกฎธรรมชาติที่เราทุกคนควรทำความเข้าใจให้เป็นธรรมดาของธรรมชาติ ยึดมั่นมากเท่าใดก็เป็นทุกข์มากเท่านั้น ไม่ยึดก็ไม่อยาก ไม่ทุกข์
ลมหนาวเช้าตรู่พัดมาซู่ซ่า......ไก่ป่ากระชั้นเสียงขัน เอ็ก อี้ เอ้ก เอ็ก ๆๆๆ เป็นนาฬิกาป่าบอกโมงยาม กระรอกหมู่ ๓ -๔ ตัว ทั้งสีขาว สีดำกระโดดไต่จากยอดไม้ต้นนั้นไปยอดไม้ต้นนี้ส่งเสียงดังอัก อี๊ก อัก ๆๆๆๆ หมู่นกตกใจกระรอกบินโฉบจากไม้นั้นไปไม้นี้ เหมือนกับคนเราเลย คือหนีจากทุกข์นั้นย้ายไปทุกข์นี้ ผ่องถ่ายความทุกข์ย้ายความทุกข์ไปเรื่อยๆ เพื่อหาความสุข ทั้งที่ความจริงแล้ว ทุกข์สุขอยู่ที่ใจต่างหาก
รูปที่ ๓๒ กระรอกเผือกหาอาหารยามเช้าตรู่
รูปที่ ๓๓ พระอาทิตย์กำลังทอแสง
ความจริงโลกนี้ทุกสิ่งเหมือนนาฬิกาเตือนกันและกันตลอด บอกความจริงให้ตลอดแต่เราไม่รู้ตัวเอง สายลมหนาวบอกเวลาการเปลี่ยนแปลงสภาพความทุกข์ทางกาย พระอาทิตย์บอกเวลาแจ้งสว่างมืดค่ำ ไก่ป่า ขันร้องบอกว่า เช้าแล้วนะนี่ ๆๆ เอ๊ก อี่ เอ้ก เอ็กๆๆ นกโพระดกหรือนกกะโปกร้องบอกเวลามีภัยบางอย่างเข้ามาหรือร้องหาคู่ โปงใช้ตีบอกเวลาพระไปบิณฑบาตให้โยมในหมู่บ้านได้รู้ล่วงหน้า น้ำชาจืดบอกให้รู้ว่าควรจะเปลี่ยนชาใหม่ได้แล้ว ใบไม้แห้งหล่นปลิวหมายถึงความตาย ผมหงอกขาวสายตายาวบอกว่าเริ่มชราแล้ว มัวหาเรื่องเสียเวลาไปใย ทำไมไม่รีบหาสมบัติใจและเส้นทางวิมุติเล่า เห็นดังนี้ไม่รู้อีกหรือว่า นาฬิกานั้นมีอยู่ทั่วไป สุดแต่ใครจะมีปัญญาอ่านออก ดูออก ไขรหัสนั้นออก ความไม่รู้และความไม่อยากจะรู้นั่นแหละ คือ อวิชชา
เรื่อเรื่อตะวันฉาย เปล่งประกายสาดทอแสง
อรุณจะเริ่มแรง เปล่งประกายสุริยันต์
ไก่ป่ากระชั้นถี่ ราตรีรี่หนีหน้าหัน
กระรอกเสียงชักชวนกัน เต้นยอดไม้หาภักษา
ลมหนาวพัดพราวจิต สะกิดในเตือนใจว่า
ฤดูกาลเปลี่ยนผันมา อายุสั้นทุกวันคืน
เร่งรีบสดับธรรม นำปฏิบัติอย่าขัดขืน
รู้ธรรมรู้โลกยืน หยัดทระนงคงเป็นธรรม
เขียนบนทางเดินจงกรม กุฏิหมายเลข ๓ วัดป่าหนองไผ่ สกลนคร
ฤาษีเอก อมตะ
เช้าตรู่วันเสาร์ ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
ความเป็นจริงของการดำเนินชีวิตหลายวันมานี้ ต้องยอมยกให้ความหอมกรุ่นละมุนละไมของชาอู่หลงก้านอ่อนจากอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย หลายครั้งคราที่มีความเหน็ดเหนื่อยและเงียบเหงา การเลือกชา การต้มน้ำให้เดือด การเตรียมอุปกรณ์การชงทั้งป้านชา ถ้วยชา รูปลักษณ์และสีสัน การชงและการเตรียมจิตใจ ตลอดทั้งการจิบชิมอย่างละเลียดละเมียดบรรจง ให้เกียรติแก่ชา เหล่านี้เรียกว่า วิถีแห่งชา น้อยคนนักที่จะเข้าใจ ในสำนวนหนังสือจีนกำลังภายใจจึงพูดถึงจอมยุทธ์ทั้งหลายว่า ถ้าหากจอมยุทธ์ใดมีความรู้ให้แตกฉานเพียงหนึ่งในห้าอย่าง ผู้นั้นจัดว่าเป็นยอดจอมยุทธ์ ซึ่งทั้งห้าอย่างได้แก่ กระบี่ หมากรุก อักษร ชา และสุรา จึงไม่แปลกที่เมื่อมาอาศัยในป่าที่ร่มครึ้มเย็นสงบของวัดป่าหนองไผ่แห่งนี้ เพื่อนแท้ที่ได้พึ่งพาอาศัยได้แก่ ชา เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ ชา จึงต้องเขียนคำคล้องจองไว้ซักบท
ระบำยอดชา
ยามหนาวลมพัดหนาว ระรานร้าวเข้าดวงจิต
กองไฟจะรอนริด สุมฟืนเข้าเฝ้ากันหนาว
ยกกามาต้มน้ำ ไอเดือดพร่ำผุดฟองพราว
ไอน้ำหรือไอหนาว คละคลุ้งให้ไหลปนกัน
ป้านชาน้อยเพียงนิด จะลิขิตความหมายมั่น
ยอดชาใส่ลงพลัน อู่หลงขอดกอดเม็ดชา
น้ำร้อนรินลงราด ให้นวยนาดคลายปรารถนา
คลี่บานปานนภา เมฆขาวพราวเริงระบำ
น้ำร้อนรินซ้ำสอง ชาเริ่มมองดูบานฉ่ำ
คลี่คลายขยายคำ ครวญครุ่นคิดพินิจความ
ชาบานไม่เย็นชา กรุ่นอุราวะวาบหวาม
หอมหวนอบอวนยาม จิบอู่หลงโต้ลมหนาว
ชาบานสรานจิต หวังชีวิตพิสุทธิ์พราว
กรุ่นไอหอมหวนคราว ชิมยอดชาซึ้งอารมณ์
รินหลั่งจากป้านชา ยิ่งสุราหรือมาข่ม
ชาหอมชวนดอมดม จิบค่ำเช้าพราวกาพย์กลอน
วิถีแห่งยอดชา มีคุณค่าไม่หลอกหลอน
กลางป่าเนินดินดอน ชารสหอมไม่เสื่อมคลาย
วิถีแห่งสุรา เมาเหมือนบ้าดูน่าหน่าย
เสียคนมามากมาย มวลมิตรแตกแยกจากกัน
ระบำแห่งยอดชา เสพยิ่งพาจิตสุขสันต์
ค่ำคืนทิวาวัน จิบยอดชาพาสุขใจ
เขียนที่ข้างกองไฟปลายทางเดินจงกรมกุฏิหมายเลข ๓
ขณะชงชาโต้ลมหนาวดูธรรมชาติงาม วัดป่าหนองไผ่ จังหวัดสกลนคร
ฤาษีเอก อมตะ
เช้าตรู่ เวลา ๐๗.๒๐ น. วันเสาร์ ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
กลุ่มรูปที่ ๓๔ ต้มน้ำร้อนชงชาอู่หลง อาชิง เจ้าของร้านชา ชิงชิง บ้านสบรวก
สามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ส่งมาให้ชิมเป็นประจำ
เวลา ๙ นาฬิกา เดินทางออกจากวัดป่าหนองไผ่เพื่อมาในเมืองสกลนคร แวะตลาดสมเกียรติ เพราะวันเกิดทั้งทีไม่ได้ทำทานให้ผู้ทุกข์ยากลำบากก็ดูกระไรอยู่ แวะเข้าไปที่แผงขายผักของคุณยายจูขอซื้อผัก ฟักทอง มะละกอ มะเขือเทศ กระเทียม หัวหอม ดอกไม้ อื่น ๆ จำนวน ๕๐๐ บาท แล้วแต่จะจัดให้ คุณยายจูไม่ขอรับเงินและขอร่วมบุญด้วย แถมให้สามล้อขนไปใส่รถให้ด้วยพร้อมกับบอกว่า มีงานบุญที่ใดให้มาบอก บุญไม่มีซื้อขาย อยากได้ต้องทำเอง คุณยายตุ๊กแกเจ้าของตลาดตุ๊กแกก็ฝากข้าวกล้องมาด้วยหลายถุง ขอกราบขอบพระคุณที่ร่วมบุญด้วย
รูปที่ ๓๕ คุณยายจูตลาดสมเกียรติผู้มีจิตใจดีงาม
ขับรถไปถวายที่วัดคำประมง หลวงตาปพนพัชน์ไม่สบายเลยเอาไปฝากไว้โรงครัวให้แม่ชีทำอาหารถวายพระและแบ่งผู้ป่วยตามเหมาะสม หลวงตาให้เด็กเตรียมอาหารเที่ยงไว้รอ หลังทานข้าวแวะไปที่กุฏิประภาศรีนอนพักและให้ไอ้หนุ่มไทโส้ทำสะอาดดายหญ้าข้างกุฏิและรดน้ำต้นไม้ไม้ดอกข้างกุฏิให้ ส่วนเราก็นอนหลับไปจนบ่าย ๔ โมง ตื่นมาไอ้หนุ่มไทโส้บอกว่าระหว่างดายหญ้ามีผู้หญิงนุ่งชุดขาวมายืนดูเขาทำงานที่ประตูกุฏิ สงสัยเทวดาเฝ้ากุฏิมานิมิตให้เห็น กลับมาบ้านสกลนครเตรียมสิ่งของรอเดินทางไปวัดป่าหนองไผ่
เวลา ๓ ทุ่มกว่าออกจากบ้านขับรถตองห้ามาถึงวัดป่าหนองไผ่เผื่อก่อไฟเก็บของเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึง ๔ ทุ่มแล้ว หาหมอนผ้าห่มผ้าผวยมานั่งกรรมฐานที่ทางเดินจงกรมจนเกือบห้าทุ่ม สุมฟืนเข้ากองไฟพอลุกโชนแล้วนอนหันหัวเข้าหากองไฟ หลับไปไม่ฝันอะไรเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น