ชิ นะ ตา ชิ มา นิ โน เย นะ เย โน ธิ สิ วะ ภา ธิ สิ
ชิ นะ ตา ชิ มา นิ โน เย นะ เย โน จะ สัต วะ ภา จะ สัต
แล้วตามด้วยคาถามหาโชคลาภ รุ รัต เถ ขุ ฝอ จากนั้นตามด้วย หัวใจคาถามหาปรารถนา โน เย นะ วะ ภา และหัวใจบรรลุธรรม โน เย นะ เย โน เผื่อหมดตามที่ว่ามานี้เวลาก็ล่วงตีสองแล้ว หยุดพักทานกาแฟและชงชาดื่มร้อน ๆ อีก ๒ แก้ว อากาศเย็นเยือกเสียดแทงเข้าฝ่าเท้าและหัวเข่า คืนพรุ่งนี้จะต้องหาถุงเท้าหนา ๆ มาเพิ่มอีก ซักคู่สองคู่
แสงไฟจากเชิงเทียนส่องสว่างวับแวมดังพึบพับ รอบตัวตามราวป่าขณะนี้ มีเสียงคล้ายสัตว์ป่าเดินหากินกลางคืน เสียงตุ๊กแกร้องดังมาเป็นชุด ตุ๊กแก่ ๆ๔ – ๕ ครั้ง คล้ายจะบอกว่า ใครคนที่ชื่อ ตุ๊ก นั้นแก่(แล้ว) ไก่ป่ากระชั้นขันตีปีกพับ ๆ ร้องปลุกครั้งแรก สายลมตอนดึกยิ่งเพิ่มความเหน็บหนาวเปลวเทียนลู่ลมไปมาวิบวับ เลยนั่งกรรมฐานต่อจนตี ๒
เวลาตี ๒.๔๕ น. ในกรรมฐานนิมิตเห็นสาวสวย ๔ นาง แต่งกายในชุดส่าหรีอินเดียยืนอยู่ สองคนยืนหน้าสองคนยืนหลังซ้อนกัน ในมือถือถาดไม้สี่เหลี่ยมเต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทอง กำไร สายสร้อย ยืนอยู่ สงสัยว่าเทวดามาลองใจ แต่เห็นแล้วก็ให้ผ่านเลยไป ถือว่าเป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่ายึดติดเพราะว่าไม่ใช่ของจริง ไม่มีจริง เห็นให้สักแต่ว่าเห็น รูปไม่เที่ยง ทั้งในกรรมฐานและนอกกรรมฐาน รูปไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในรูป อย่าไปยึดติด ถ้าเทวดาเอามาให้จริง สงสัยรวยเละกิเลสคงหนาขึ้นอย่างมาก
เสียงตุ๊กแกร้องทักก้องราวป่าในเวลาดึกดื่นค่อนคืนนี้ว่า ตับแก่ ๆ ๆ ๆ เป็นจังหวะ ๔ – ๕ ครั้ง แหงนหน้าดูท้องฟ้าดาวระยิบระยับเกลื่อนราตรี ลมนิ่งสงัดแล้วแต่ความหนาวเย็นไม่ยอมหยุดนิ่งกลับเพิ่มดีกรีมากขึ้นกว่าเก่า เสียงใบไม้หล่นดังกั๊บแก๊บ ๆ ลางทีกิ่งไม้เล็ก ๆ หักดังปริกปรักเหมือนเสียงคนพูดคุยกัน อย่าตกใจให้มีสติพิจารณาว่า เสียง เสียงก็มีขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหมือนกัน
เวลาตี ๓ ลุกขึ้นเดินจงกรมอีก คราวนี้เจริญคาถาฤาษี โอม ฤ ฤา มหา ฤ ฤา พุทโธมหาลาภัง ธรรมโมมหาลาภัง สังโฆมหาลาภัง สลับกันไปมา ระหว่างกำลังเดินเวทนาก็เกิดขึ้นที่ฝ่าเท้า แม้จะสวมถุงเท้า ๑ คู่ แต่ทางเดินจงกรมเป็นพื้นซีเมนต์ก็ดูเหมือนจะเพิ่มความเย็นมากยิ่งขึ้น ๆ ซ้ำแผ่ซ่านขึ้นมาจากฝ่าเท้าจนถึงหัวเข่า เจ้าฝ่าเท้าก็ดูเหมือนจะรับความเย็นได้ไวมาก เหลือเกิน ขณะเดียวกันตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงหัวเข่าก็เย็นซ่านขึ้นมาจนเป็นเหน็บ ไม่รู้ว่าขณะนี้อุณหภูมิเท่าไหร่ คาดเดาว่าประมาณ ๑๒ -๑๕ องศา เพราะเทียบเคียงความรู้สึกดูแล้วใกล้เคียงกันกับความหนาวเย็นที่อุทธยานแห่งชาติน้ำหนาวที่เคยไปเมื่อ ๓ ปีก่อน เพื่อความแน่ใจจะไปซื้อเทอโมมิเตอร์มาแขวนดูอุณหภูมิวันพรุ่งนี้ การแก้ความหนาวได้แต่ท่องคำภาวนา ฤ ฤา ให้ความเร็วมากขึ้นจะได้ลืมเวทนา เวทนาทั้งสามอย่าง สุขเวทนาคนชอบมากเพราะเพลิดเพลินดี เจริญใจกาย เลยติดยึดและลุ่มหลง กลายเป็นโมหะ พอพลัดพรากของรัก ของพอใจ ของชอบใจก็เป็นทุกข์ ทุกขเวทนาคนไม่ชอบเพราะทรมานกายใจ เลยไม่อยากยึดติด อยากสลัดทุกข์นั้นออกไป กลายเป็นความไม่พอใจ ไม่ชอบใจ พอได้ของที่ไม่รัก ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ก็ทุกข์อีก ภาษาอิสานว่า อุกอั่งโหใจ๋ (สำเนียงผู้ไทยายราศีว่า อุกอั่งมะโหเจอ ) อุเบกขาเวทนา ความไม่ทุกข์ไม่สุข เฉย ๆ กลาง ๆ มีก็มี เสียก็เสีย ได้ก็ได้ กลาง ๆ จิตไม่หวั่นไหวสนใจอะไรมาก รู้แล้วละปล่อยวาง
ตี ๔ นั่งกรรมฐานต่อถึงตีสี่ครึ่ง เอนหลังนอนพักเผลองีบหลับไปจนถึงหกโมงเช้าพอดี ลุกมาเดินจงกรมต่อเล็กน้อย มือคว้าถือกล้องถ่ายรูปไปหาถ่ายบรรยากาศยามเช้า อากาศหนาวเย็นลมพัดต้นไม้ไหว ไปมาโยกเยก เสียงต้นไม้ปลายทางเดินจงกรมโดนลมบิดลำต้นดังเอี้ยดอ้าด แสงอาทิตย์ลอดราวป่ามาทะลุข้างทางเดินจงกรม เช้านี้หมู่กระรอกไม่มาหากินอาหารแถวนี้ สงสัยอากาศหนาวเย็นมันอาจนอนอยู่กรมอุตุ หรือไม่ก็ไปหา Breakfast ที่อื่น
ความจริงแล้ว เรากำลังอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งอย่าง ลมพัดไปมาไม่เคยหยุดนิ่ง ต้นไม้กำลังเติบโตเปลี่ยนไปตลอด คนเราแก่ไปทุกวัน ก้อนหินก้อนดินก็เปลี่ยนแปลง แต่ใช้เวลามากหน่อย หากเราอยากจะยึดให้มันคงที่เป็นอมตะ การยึดเอาถือเอาเลยกลายเป็นทุกข์ จะเรียกว่า หลงตนเอง หรือหลงโลกก็ได้ ภาษาพระว่า โมหะ เหลือบตาขึ้นดูต้นไม้ ยอดไม้ที่ลมกำลังพัดซู่ซ่า ตาเห็นความจริงว่าต้นไม้กำลังโอนเอนก็ไม่คงที่ หูได้ยินเสียงลมพัด ลมก็ไม่ได้พัดดังซู่ซ่า แต่พัดกระชาก กระโชก กระชั้น เสียงซู่...........เอื่อย ๆ แล้วปรับโทนไปเป็นสียงระริกของใบไม้ หมดป่าข้างหน้าก็มาข้างหลัง ใบไม้แห้งหล่นก็ทำเสียงเปาะแปะและใบไม้แห้งพลิกคว่ำหงาย เหล่านี้เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทั้งสิ้น พระพุทธองค์จึงเรียกว่า ไตรลักษณ์ คือลักษณะ ๓ อย่าง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยงตรงมั่นคง เป็นทุกข์ทั้งการยึดเอาหรือปล่อยไป ไม่ใช่ของเที่ยงแท้มีตัวตน ทุกสรรพสิ่งหมุนวนเวียนทำกาลกิริยาเกิดดับอยู่แบบนี้ตลอดเวลาและตลอดไป แม้ลมหายใจของเราก็เกิดดับเช่นกัน อย่างนี้นี่เองที่ครูบาอาจารย์ท่านจึงว่า รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น เป็นสักแต่ว่าเป็น ใครมีหน้าที่ใดก็ทำไปเท่าที่รับผิดชอบ ให้มีสติเท่าทันทุกสิ่งทุกอันทั้งทางกายและจิตใจ รู้จักปล่อยวางตลอดเวลา ภารา ทานัง ทุกขัง โลเก การแบกถือของหนักเป็นความทุกข์ในโลก เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘ ได้ไปฝึกกรรมฐานกับหลวงปู่หวา สัตตมโร (กราบขออภัยหลวงปู่ถ้าจำฉายาผิด) วัดหัวดง ทางแยกบายพาสเลี้ยวไปอำเภอท่าอุเทน ก่อนถึงตัวจังหวัดนครพนม ท่านเมตตาสอนว่า หลวงปู่บ่มีโรคอยากแล้วได๋ จึงได้พยายามจะไม่แบกของหนักอีกต่อไปตามคำหลวงปู่สอนไว้
รูปที่ ๒๗ หลวงปู่หวา สัตตมโร
ลงจากวัดป่าหนองไผ่ตอนสายไปดูงานที่วิทยาลัยแล้วกลับมาบ้านเตรียมผ้าห่มและหมอนเอากลับไปคืนยายราศรีที่นาแกตอนบ่าย ๆ สนทนาธรรมกันตามภาษาแม่ลูกพร้อมเจ๊วันพี่สาวคนโต คุณแม่ปวดหัวเข่า ได้บอกว่าเป็นเรื่องของสังขารร่างกายแก่แล้วก็เป็นแบบนี้ทุกคน ถามถึงการภาวนาแม่บอกว่าทำตลอดนั่งอยู่ก็ท่องในใจว่า พุทโธ ธรรมโม สังโฆ เลยบอกว่าดีแล้วให้ทำต่อไป นี่ก็ไปเข้ากรรมฐานที่วัดป่าหนองไผ่ พระอาจารย์สุธรรม สุธรรมโม เป็นเจ้าอาวาส ไปได้ ๓ คืนแล้วหละเพื่อเป็นการทำบุญวันเกิด คืนนี้เป็นคืนที่ ๔ และเป็นวันพระใหญ่ด้วยแต่พญามารก็ทำหน้าที่ของเขาเช่นกัน เพราะมีโทรศัพท์จากพรรคพวกให้ไปฉลองปริญญาของลูกสาวคุณยายทอง อีกคณะหนึ่งก็เพื่อนฝูงกันย้ายไปรับตำแหน่งผู้จัดการผู้จัดการแบงค์ ธกส. นัดพบเพื่อเลี้ยงที่บ้านเพื่อนอีกคน เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจเลยต้องอาศัยพระบารมีของพระอรหันต์ที่บ้านว่าคุณแม่ไม่สบายมาดูแลท่านที่อำเภอนาแก จะว่าโกหกได้อย่างไร เพราะตอนนี้ก็อยู่คุยกับแม่อยู่แล้ว ตอนนี้ก็ปวดขาก็ต้องไม่สบายนะซิ ส่วนมากน้อยเขาไม่ได้ถามเราก็เลยไม่ได้บอก แต่จะมากหรือน้อยขนาดไหนก็ไม่สบายทั้งนั้นแหละ
ตอนเย็นหลังจากลุงทิดนัด (ฤาษีนัฐสิทธิ์ฤทธิมนต์) พราหมณ์ประจำกลุ่มสร้างสรรค์เมืองนาแก (กลุ่มดี๊ดีนาแก) มัดฟ่อนข้าวเสร็จแล้ว พากันไปแวะที่บ้านริมน้ำก่ำหลังจากสนทนาวิสาสะกันแล้วได้เอายาบำรุงธาตุจากวัดคำประมงไปฝาก เอาตังส์ให้เด็ก ๆ ไปซื้อไก่ย่าง ปลาเผามาทานตอนเย็น พร้อมกับให้ลุงทิดนัดนวดตัวคลายเส้นตึงด้วยความผ่อนคลายและผ่อนคลาย มอบเงินให้ค่านวดเป็นน้ำใจไว้ ๑ ร้อยบาท
รูปที่ ๒๘ ฤาษีนัฐสิทธิ์ฤทธิมนต์
กลับมาสกลนครเตรียมอุปกรณ์ขึ้นไปนอนวัดต่อตอนดึก เนื่องจากมีแขกคนสำคัญระดับประเทศมาที่วัดป่าหนองไผ่ตอนหัววัน เราเลยต้องหลีกเวลาขับรถมาตอนสี่ทุ่ม ที่วัดป่าหนองไผ่เงียบสงัดมากเหมือนหลุดออกมาอีกโลกหนึ่ง พญามารก็ทำหน้าที่อีกหรือจะเรียกว่า ธรรมชาติช่วยเกื้อหนุนทดสอบการปฏิบัติธรรมก็น่าได้ หลังจากจุดเทียนระหว่างทางเดินจงกรมได้เดินขึ้นไปที่กุฏิหมายเลข ๓ ขณะที่ใช้ไฟฉายส่องคว้าผ้าห่มและหมอนจะมาปูรองนอนที่ทางเดินจงกรม ที่มุมห้องเห็นงูอะไรไม่รู้ตัวใหญ่กำลังขดอยู่ ไม่แน่ใจว่าเป็นงูสาหรืองูสิงทอง มองหารูในกุฏิว่ามันมาจากไหน มาได้อย่างไร ก็ไม่เห็นช่องทาง เพราะกุฏิบุมุ้งลวดตาข่ายขนาดเล็ก ไม่น่าจะเข้ามาได้ แต่เนื่องจากลืมกล้องถ่ายรูปไว้ในรถ จึงไม่ได้ถ่ายรูปไว้ตอนกลางคืน แสดงว่า งูมันคงหนาวมากจึงมาขอแบ่งกุฏินอนบ้าง ก็ดีเหมือนกัน การรู้จักแบ่งปัน การให้ทานเป็นเมตตาที่พระพุทธองค์ทรงประทานมาให้ปฏิบัติเป็นข้อแรกในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อีกทั้งหากใครมีเมตตาหาปริมาณขอบเขตจำกัดสิ้นสุดไม่ได้นานๆ เข้า ทานบารมีเต็มเมื่อใด บารมีอีก ๙ อย่างก็มาเอง ไม่ต้องไปร่ำร้องเรียกหา ไม่อยากได้ก็จะได้มาเอง อีกทั้งทานบารมีข้อแหละจะเป็นบาทฐานในการดำรงชีพทั้งทางโลกและทางธรรมต่อไป
รูปที่ ๒๙ งูสาหรืองูสิงทองขึ้นมาแบ่งกุฏินอน
การแบ่งปันกุฏิให้งูพักนอนก็ดีเหมือนกัน เพราะการออกมาตากลมหนาวที่ทางเดินจงกรมทำให้เกิดความขยันอดทน จิตตื่นอยู่ตลอดเวลา หลังจากจุดเทียนเป็นแนวทางเดินจงกรมเสร็จแล้ว มานั่งกรรมฐานเริ่มเวลาประมาณ ๔ ทุ่ม ๒๐ นาที จนถึง หกทุ่มกว่า ล้มตัวลงนอนหลับไปไม่ฝันใด ๆ ไม่มีใครมารบกวน ได้พบแต่ความสงบเงียบสงัดอันอบอุ่น....เป็นกันเอง เหมือนเป็นเพื่อนร่วมโลกเดียวกันเป็นธรรมชาติที่เราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และเราเป็นเจ้าของซึ่งไม่ใช่เจ้าของที่ยึดว่าเป็นของฉัน แต่เป็นเจ้าของธรรมชาติร่วมกันและแบ่งปันกัน ช่วยกันไปไม่มีการเคลือบแคลงสงสัย เพราะเราก็คือธรรมชาติ การค้นหาธรรมมะหรือธรรมชาติ ต้องค้นหาจากความสงบสงัดของตนเอง ประตูแห่งความสงบสงัดเปิดออกมาเมื่อไหร่ เราจะรู้เรา รู้โลก และรู้แจ้งโลก เป็นขั้นตอนไปตามกำลังแห่งสภาวะและบารมีของตน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น