วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แจกหนังสือเจ็ดธรรมราตรี

เรียน สาธุชนพุทธบริษัททุกท่าน
หากท่านใดมีความประสงค์อยากได้หนังสือเจ็ดธรรมราตรีไว้อ่าน ติดต่อเข้ามาได้ ยินดีมอบให้ท่านละ ๑ เล่ม ค่าจัดส่งฟรีทุกประการ

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

19. ปกหนังสือเจ็ดธรรมราตรี





ปกหน้าหนังสือ เจ็ดธรรมราตรี

คำอธิบายปกหน้า

ชื่อหนังสือ เจ็ดธรรมราตรี หมายถึง ธรรมะที่เกิดขึ้นใน ๗ ราตรี ระหว่างที่ปฎิบัติธรรมในวัดป่าหนองไผ่

พื้นสีดำ หมายถึง อวิชา ความดำมืดของกิเลสที่ปกคลุมในจิตใจมนุษย์

เทียนหนึ่งแท่งเปล่งประกาย หมายถึง ผลจากการปฎิบัติธรรมเปรียบได้ดั่งแสงสว่างแห่งปัญญาที่เกิดขึ้นมาระหว่างปฏิบัติธรรม ถึงแม้จะน้อยนิดเหมือนแสงเทียนก็ยังดีกว่าไม่ได้ลงมือปฎิบัติเลย เปลวเทียนเล่มน้อยอยู่ใกล้มือ ยังให้แสงสว่างกว่าดวงดาวที่ปลายฟากฟ้าในคืนแรม

ดอกลีลาวดี หมายถึง จิตที่เบิกบานด้วยปัญญาย่อมขาวบริสุทธิ์สวยงาม



ปกหลังหลังสือเจ็ดธรรมราตรี
              
              พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม  
               เมตตาสั่งสอนให้โอวาทระหว่างปฏิบัติธรรม      ในวัดป่าหนองไผ่

18.ปัจฉิมบท

ปัจฉิมบท
ในชีวิตของมนุษย์เราที่เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง เคยมีใครได้ถามตนเองและพิจารณาตนเองบ้างไหมว่า เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อหวังสิ่งใด สำหรับทัศนะของผู้เขียน มนุษย์เราเกิดมาเพื่อการปฎิบัติธรรมและทำประโยชน์ของตนเองให้สมบูรณ์ตามฐานานุรูปแล้วให้เผื่อแผ่ประโยชน์นั้นเพื่อผู้อื่นบ้างตามกำลังความสามารถของตน ในพระไตรปิฎกได้พูดถึงการปฎิบัติธรรม การทำดีด้วยกาย วาจา ใจ การละกิเลส ทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด การกล่าวอ้างว่า ไม่มีเวลาในการปฎิบัติธรรม จึงเป็นการกล่าวอ้างของผู้ขาดสติ ขาดความเคารพและไม่เข้าใจซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา การปฎิบัติธรรมนั้นย่อมมีอยู่ทุกเวลา ทุกขณะจิต และทุกลมหายใจ ฆราวาสญาติโยม อุบาสก อุบาสิกานี้แหละควรต้องฝึกปฎิบัติ สมถกรรมฐานและวิปัสนากรรมฐานให้มาก เพราะเรามีข้อทดสอบ เรามีเรื่องมากระทบจิตใจตลอดเวลา ทั้งเรื่องหน้าที่ การงาน ครอบครัว สังคมและความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตที่มีศิลปะดีงาม คือชีวิตที่ดำรงด้วยการปฎิบัติธรรมนั่นเอง ใครยิ่งทำให้มากมายเท่าใด ละเอียดลึกซึ้งสุขุมแนบแน่นมั่นคงในจิตมากเท่าใด ผู้นั้นยิ่งจะมีความสุขมากยิ่งขึ้นไป จนสุดท้ายเป็นความสุขขั้นวิมุติไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
พระพุทธองค์สอนให้เรารู้จักให้ทานเป็นการสร้างทานบารมีอันเป็นข้อแรกในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ การปฎิบัติธรรมแล้ว นำมาบอกกล่าวเป็นการให้ทานธรรมะ การบอกธรรมะ การเผยแผ่ธรรมะ เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ปฎิบัติเป็นตัวอย่างของชาวพุทธ ในพระวินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค เรื่อง เวรัญชพราหมณ์ พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เวรัญชพราหมณ์ทราบข่าวว่าพระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูปเสด็จมา และพระกิตติศัพท์อันงามของพระองค์นั้น ขจรไปแล้วว่า พระผู้มีพระภาคองค์นั้น ทรงเป็นพระอรหันต์ ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงบรรลุวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแม้ ทรงทราบโลก ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า ทรงเป็นศาสดาของเทพและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงเป็นพุทธะ ทรงเป็นพระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทพ และมนุษย์ ให้รู้ ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์ อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายปานนั้น เป็นความดี
แม้กิตติศัพท์ชื่อเสียงของพระพุทธองค์ขจรไปไกลขนาดนั้น เวรัญชพราหมณ์เมื่อไปพุทธสำนักก็ยังกล่าวตู่พระพุทธเจ้าต่างๆ นานา เช่นไม่รู้จักรับไหว้ ไม่ลุกมาต้อนรับพราหมณ์ ปกติไม่ใยดี ไม่มีสมบัติ การไม่กระทำ ความขาดสูญ การกำจัด การเผาผลาญ การไม่เกิด ความน่ารังเกียจ พระพุทธองค์ทรงตอบแก้ไขข้อกล่าวหาด้วยธรรมะทั้งเรื่องการไม่กระทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ตลอดถึงการสรุปเรื่อง รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ และเล่าถึงมรรคผลของการปฎิบัติที่พระองค์สำเร็จแล้วตั้งแต่ฌาน ๔ และวิชชา ๓ ทรงอธิบายปฐมฌาน ว่า เรานั้นแล สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม ได้บรรลุปฐมฌาน มีวิตก
มีวิจาร มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่วิเวกอยู่.
ทรงอธิบายทุติยฌาน ว่า เราได้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตก วิจาร สงบไป มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่สมาธิอยู่.
ทรงอธิบายตติยฌาน ว่า เรามีอุเบกขาอยู่ มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
ได้บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสุขอยู่ ดังนี้ อยู่.
ทรงอธิบายจตุตถฌาน ว่า เราได้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ มี อุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.
จากนั้นพระพุทธองค์ได้อธิบายว่าเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ อันเป็นญาณในการระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก ได้น้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ อันเป็นญาณเครื่องรู้จุติและอุปบัติ
ของสัตว์ทั้งหลาย ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ อันเป็นญาณตามเป็นจริงเกี่ยวกับอริยสัจจ์ ๔ และอาสวะกิเลส ว่า นี้คือทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เหล่านี้ อาสวะ นี้เหตุให้เกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้ หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ได้มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลสส่งจิตไปแล้วอยู่
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสอย่างนี้แล้ว เวรัญชพราหมณ์ได้ทูลกล่าวคำยกย่องสรรเสริญพระพุทธองค์ว่า เป็นผู้เจริญที่สุด เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งไพเราะนัก ประกาศธรรมโดย อเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ และขอนับถือพระพุทธองค์ พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ และขอเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต และอาราธนาพระพุทธองค์ให้อยู่จำพรรษาที่เมืองเวรัญชา
มนุษย์เกิดมาในโลกนี้มีความเท่าเทียมกันอยู่อย่างน้อย ๒ อย่าง คือ กรรม และ เวลา พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ดูกรมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ตนเป็นผู้รับมรดกแห่งกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมนั่นเองย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวบ้าง ให้ดีบ้าง แสดงให้เห็นว่า บุคคลสั่งสมกรรมอย่างใดย่อมได้รับผลแห่งกรรมอย่างนั้น ประกอบกรรมอันนำไปสู่ความเป็นอย่างใด ย่อมได้รับความเป็นอย่างนั้น คือ ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว ส่วนเวลานั้น ใช้กำหนดลงไปสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใต้ฟ้าล้วนเกี่ยวพันกับเวลา สิ่งที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ควรใส่ใจให้มากยิ่งขึ้นไปได้แก่ เวลาแห่งการทำคุณงามความดีและเวลาที่รู้จะละเว้นความชั่วทั้งมวล
ในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวปริศนาธรรมไว้ว่า "มียักษ์อยู่ตนหนึ่ง มีตาอยู่ 2 ข้าง ข้างหนึ่งสว่าง อีกข้างหนึ่งริบหรี่ มีปากอยู่ 12 ปาก มีฟันไม่มาก แต่ละปากมี 30 ซี่ กินสัตว์ทั่วทั่งปฐพี ยักษ์ตนนี้คือใคร?" คำเฉลยนั้นกล่าวว่า ยักษ์ตนนี้ก็คือพระกาล หมายถึงกาลเวลานั่นเอง ตา 2 ตา หมายถึงเวลากลางวันและกลางคืน ปาก 12 ปาก หมายถึงในรอบ 1 ปี มี 12 เดือน และฟัน 30 ซี่ หมายถึงแต่ละเดือนมี 30 วัน กาลเวลายิ่งผ่านล่วงเลยไป ยิ่งกลืนกินชีวิตมนุษย์ และสัตว์พร้อมทั้งตัวมันเองด้วย
ครั้งหนึ่งนานมาแล้วผู้เขียนได้ไปกราบฟังธรรมกับหลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดภูจ้อก้อ อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ท่านได้กล่าวว่า กาลเวลากลืนกินทุกสรรพสิ่ง แม้แต่เทวดา มารพรหมก็ไม่เว้น พระพุทธองค์ทรงแนะให้พุทธบริษัทอุบาสก อุบาสิกา พิจารณาทุกวันว่า เรามีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความเกิดแก่ เจ็บ ตายไปได้ เมื่อมรณะกาลมาถึง เราจะต้องละทิ้งทุกสรรพสิ่งที่เรายึดมั่น ถือมั่นว่าเป็นของเราไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้อย่างยากลำบากลาภ ยศ สรรเสริญ ศักดิ์ศรี ฐานะ ความเป็นอยู่ ความหล่อ ความสวย ลูกผัวตัวตนเมียรัก ต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ก็ตาม จะมีก็แต่ผลของกรรมเท่านั้นที่ติดตามฝังไว้ในสภาวะจิตและไปก่อกำเนิดในภพภูมิใหม่ตามผลกรรมของตนที่สร้างมา ดังนั้น จึงควรทำความดีให้มาก
การบันทึกการปฎิบัติธรรมและผลของการปฎิบัติธรรม ตลอดทั้งแนวทางในการแก้ไขในช่วง ๗ ราตรีที่วัดป่าหนองไผ่ รวมทั้งการฟังโอวาทธรรมจากหลวงพ่อพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม ผสมผสานกับการทำงานทางโลกโดยปลีกเวลา แบ่งเวลา หรือผสานเวลาให้ลงตัวตามความเหมาะสมของผู้เขียนคงจะพอเป็นแนวทางในการทำความดีทาง กาย วาจา ใจ ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมากสำหรับผู้ที่บำเพ็ญภาวนาอย่างเคร่งครัด แต่ก็อาจเป็นตัวอย่างให้นำไปปฎิบัติธรรมตามกำลังทางสายกลางแห่งตน ผู้เขียนกราบขอขมาอโหสิกรรมต่อพระพุทธองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ อริยบุคคล ครูบาอาจารย์ทุกท่าน หากมีส่วนหนึ่งส่วนใดที่ผิดพลาดพลั้งไปในผลของการปฏิบัติและแนวทางแก้ไข ขอได้โปรดอดโทษและงดโทษนั้นและพร้อมที่จะรับฟังคำชี้แนะการปฎิบัติจากทุกท่านด้วย
กุศลผลบุญทุกประการที่เกิดขึ้นจากหนังสือนี้ ขอถวายแด่หลวงพ่อพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม วัดป่าหนองไผ่ ตลอดทั้งพระสงฆ์ทุกพระองค์ในพระพุทธศาสนา อุบาสก อุบาสิกาทุกท่านที่ช่วยเหลือค้ำจุนเผยแผ่พระพุทธศาสนา คุณพ่อ ตงเค่งเซ็ง คุณแม่ราศี ตงศิริ ญาติพี่น้องผู้มีพระคุณทุกท่าน ตลอดจนทุกท่านพร้อมครอบครัวดังรายนามท้ายเล่มที่ได้สละทรัพย์ร่วมในการจัดพิมพ์และผู้อ่านทุกท่านที่ได้รับหนังสือนี้ ขอจงเป็นผู้ที่เจริญในปัญญาบารมี มีดวงตาเห็นธรรม ได้มีโอกาสปฎิบัติธรรม และบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในชาตินี้ด้วยเถิด

วรวิทย์ ตงศิริ
วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๒

17.วันที่เจ็ดแห่งการปฏิบัติธรรม...วันอาทิตย์ ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑...คูหาสะรัง

วันที่เจ็ดแห่งการปฏิบัติธรรม
วันอาทิตย์ ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
คูหาสะรัง
เวลาตี ๐๒.๔๕ น. ตื่นมากลางดึกอากาศหนาวเย็นคาดว่าประมาณ ๑๐ – ๑๕ องศา ลมราตรีพัดชวนความหนาวมาเป็นเพื่อน ห่มผ้าแล้วชงชาดื่ม ๒ แก้ว เขียนบันทึกข้อมูลไว้
เวลา ๐๓.๐๐ น. นั่งกรรมฐานข้างกองไฟ มีเพื่อนมาเยี่ยมเยือน คือมดอพยพออกจากดุ้นฟืนมาอยู่ใต้เบาะรองนอนฝูงหนึ่ง นั่งเข้าฌานสงบไปไม่รู้ตัวเลย มีอาการเหมือนตอไม้นั่นแหละไม่รับรู้อะไร จึงเรียกว่าเป็นสมาธิหัวหลักหัวตอ ไม่มีปัญญาความรู้อะไร แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ ได้มานั่งในป่านี้ คิดเข้าข้างตนเองว่า ทั้งวัดนับดูฆราวาสญาติโยมแล้วมีไม่เท่าไหร่เลย ยิ่งมานอนกลางป่า อยู่ระหว่างทางเดินจงกรมท่ามกลางอากาศหนาวแบบนี้ เอาต้นไม้ก้อนหินและลมหนาวเป็นเพื่อน ใบไม้เป็นหลังคา ดาวระยิบระยับน้อยใหญ่ต่างแสงไฟคบเพลิงคบไต้ เสียงกระรอก ไก่ป่าดั่งร้องขันกล่อมมาดั่งดนตรีสวรรค์ ถึงจะเป็นสมาธิหัวตอก็ช่างเถิด

หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม ได้เมตตาอธิบายให้ฟังเมื่อคราวที่ไปขอคำแนะนำจากท่านคราวที่ท่านยังไม่มรณะภาพว่า เมื่อเข้าสมาธิไปจนจิตสงบเงียบ ขาดสติเข้าฌานไปก็เหมือนกับเราเอาจิตจมดิ่งลงสู่ความเป็นทิพย์ พอตื่นขึ้นมาจิตมีพลังควรค่าแก่การทำงานแล้ว ให้ยกจิตขึ้นพิจารณาสังขารร่างกายดูให้เป็นปฎิกูล เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม จนจิตเกิดความเบื่อหน่าย คือ นิพพิทา และถอนจากราคะ คือความรัก กลายเป็นวิราคะ ถึงจะหมดแล้วสิ้นแล้ว กลายเป็นวิมุติญาณทัศนะ ตอนจิตเข้าฌาณนั่งสงบเงียบ เรียกว่า คูหาสะรัง จิตเข้าสู่คูหาเถื่อนถ้ำที่พัก เหมือนเข้าไปบรรจุแบตเตอรี่พอเต็มที่เต็มกำลังก็ยกขึ้นใช้งาน ดังนั้น ถึงจะเป็นสมาธิหัวตอก็ไม่เป็นไร ขอยกคำบาลีมาให้อ่านประกอบก็ได้ว่า ลักษณะของจิต นั้น
“ทูรังคะมัง เอกะจะรัง อะสะรีรัง คูหาสะรัง
เย จิตตัง สัญญะ เมสสันติ โมกขันติ มาระพันธะนา
ชนเหล่าใดจักสำรวมจิตที่ไปได้ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง
มีถ้ำคือร่างกายเป็นที่อาศัย ชนเหล่านั้น จะพ้นจากเครื่องผูกของมารได้” (ขุ. ธ. ๒๕/๑๓/๑๙)

ทูรังคะมัง แปลว่า ไปได้ไกล คือ ออกรับอารมณ์ในที่ไกลได้ เช่นนั่งอยู่ที่เมืองไทยใจอาจคิดไปถึงอเมริกา หรือ นอกโลก รวมทั้งอาจไปในอดีตและอนาคตก็ได้
เอกะจะรัง แปลว่า เที่ยวไปดวงเดียว คือ จิตเกิดดับทีละดวง และรับอารมณ์ได้ครั้งละหนึ่งอย่าง
อะสะรีรัง แปลว่า ไม่มีรูปร่าง คือ จิตนี้ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสี ไม่มีสัณฐาน
คูหาสะรัง แปลว่า มีถ้ำคือร่างกายเป็นที่อยู่อาศัย
เวลาตี ๔ ลุกมาเดินจงกรมไปกลับท่ามกลางอากาศหนาวเย็น แม้ใส่เสื้อกันหนาวก็ยังต้องห่มผ้าห่มทับอีกชั้นหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะเย็นหลังมาก เกิดอาการง่วงนอนซึ่งเป็นนิวรณ์อย่างหนึ่งเหมือนกัน (ใครบ่นว่าไม่ง่วงลองมาเดินดูหน่อยก็ได้) จึงต้องใช้วิธีเดินจงกรมแบบเร็ว ๆ และกลั้นลมหายใจไปด้วยตาสว่างเลยคราวนี้ จิตมันขี้ขลาดกลัวตาย หรืออาจเป็นเพราะชาอู่หลงสองแก้วก็ได้
เวลาตี ๕ กว่า ๆ สุมฟืนให้ไฟลุกแล้วต้มน้ำ ระหว่างนั้นนั่งกรรมฐานพิจารณาลมหายใจเข้าออก วับเดียวผู้ชายสองคนหันมามอง คงเป็นเทวดาที่รักษาแถวนี้กระมัง ต้องพิจารณาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่งภาวนาไปจนหกโมงครึ่ง จึงลุกมาเก็บผ้าห่มผ้าผวยไปพับไว้ตรงราวบันไดกุฏิ
พิจารณาดูกองไฟแล้วเห็นเป็นเรื่องน่าคิด เพราะไม้อ่อนแห้งกรอบผุแล้ว พอสุมเข้ากองไฟซักครู่ก็ติดลุกโชน แต่ไม้ที่แกร่งแข็งสุมเข้าตั้งนานก็ไม่ยอมติดไฟเลย คงเปรียบได้กับคนเราหาคนที่มีแก่นได้ยาก พอไฟโหมมาก็มอดไหม้ไป ส่วนคนแก่นแม้ไฟจะกระพือ ลมจะพัดกระหน่ำซ้ำ คนแก่นก็ไม่ยอมมอดไหม้ลุกโชนตาม
ไฟที่พระพุทธองค์สอนชฏิล ๓ พี่น้องที่บูชาไฟ ได้แก่ ไฟคือโทสะ โทสะคิ ไฟคือโมหะ โมหะคิ ไฟคือราคะ ราคะคิ ไฟทั้งสามอย่างนี้ต่างมีการเผาไหม้แตกต่างกันไป รายละเอียดมีมากดูเฉพาะในหน้าปกหนังสือพิมพ์รายวันแต่ละฉบับหรือทุกประเด็นข่าว ทุกคอลัมน์ต่างเต็มไปด้วยกองไฟใหญ่น้อยต่าง ๆ นานา แล้วแต่ใครจะมีปัญญาหาดูเอง มีนิมิตแวบหนึ่งเห็นผู้ชายสองคนอยู่ตรงทางเดินจงกรมหันมาสบตา มีกล่องกระดาษใส่ขวดน้ำ สงสัยเราไม่ได้กรวดน้ำหรือถวายน้ำให้พระสงฆ์กระมัง เทวดาเลยบอกว่าต้องหาน้ำมาดับไฟ (นิมิตนี้อย่าลืมต้องพิจารณาเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ปู่ฤาษีโสตัสตะภิญญา จึงบอกคาถาดับไฟความทุกข์ไว้ให้ท่องบ่น ว่า

โอมพระพุทธ มาดับพระเพลิง โอมพะปะเปิง ทะสะวาหะ
โอมพระธรรม มาดับพระเพลิง โอมพะปะเปิง ทะสะวาหะ
โอมพระสงฆ์ มาดับพระเพลิง โอมพะปะเปิง ทะสะวาหะ
ใครสนใจก็ท่องบ่นเอาไว้ใช้ก่อนนอนหรือก่อนไปทำงานตอนเช้าซัก ๓ - ๙ จบ จะทำให้ธุรกิจการงานเจริญรุ่งเรือง ตนเองก็จะอยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป ยิ่งเข้าสมาธิท่องบ่นยิ่งเห็นผลเร็ว แต่อย่าลืมหมากพลู บุหรี่ น้ำซักแก้ว แค่นี้คงไม่หนักหนาอะไร ขออย่างเดียวอย่าถามหาตัวตนท่าน ไม่มีทางไปหาเจอหรอก ก็อยู่ที่ป่าหิมพานต์โน่นจะไปหาได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าฌานติดต่อ ใครอยากลองก็ท่องบ่นภาวนาคำว่า “โสตัสตะภิญญา” ท่านผู้นี้มีฤทธิ์มาก ลองขอพรท่านดูก็ได้นะ
เวลา ๐๘.๓๐ น.หลังจากทานโกโก้ร้อน ๑ แก้ว เดินจงกรมแบบมหาสติปัฏฐานสูตร ความจริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสติปัฏฐานทั้งนั้นแหละ เพียงแต่จะใช้วิธีการหรือคำเรียกอย่างไรเท่านั้น ที่ดูแล้วเหมือนแตกต่างกัน อยากเปรียบเทียบว่าการเดินทางไปจุดหมายเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเดินทางเหมือนกัน ไปกรุงเทพไม่จำเป็นต้องนั่งเครื่องบินเสมอไปกระมัง เดินไปก็ถึงเหมือนกันอาจช้าหน่อย แต่เห็นรายละเอียดเยอะกว่า หรือจะนั่งรถโดยสาร กลิ้งไป คลานไป ก็ถึงทั้งนั้นอาจช้าเร็วต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจริตและบุญบารมีของแต่ละคนไป ไม่อาจนำตาชั่งหรือไม้บรรทัดมาวัดเปรียบเทียบได้
บางท่านอาจจะเกิดคำถามว่า ปฎิบัติธรรมกรรมฐานอะไรมีหลายแบบหลายอย่างแท้ ทำไมไม่เอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องเรียนชี้แจงเป็นการสร้างความเข้าใจก่อนว่า ปี พ.ศ.๒๕๓๐ ตอนไปเรียนหนังสืออยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาลัยครูและอาชีวศึกษา วิทยาเขตเทเวศร์ กทม. (เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล) มีบุญใหญ่ได้ไปฝึกกรรมฐานกับพระธรรมธีรราชมหามุนี (เจ้าคุณโชดก) วัดมหาธาตุ ๑-๒ ครั้ง ไปวันเสาร์ - อาทิตย์ เลยจำได้ และเป็นลูกศิษย์ท่านด้วย ตอนหลังมาทำงานเป็นครูก็ไปฝึกกรรมฐานแนวทางนี้แหละ ตอนบรรจุครูใหม่ก็ไปฝึกกรรมฐานแนวทางนี้กับท่านพระครูเลียบ วัดศรีจำปา บ้านซ่ง เป็นรองเจ้าคณะอำเภอนาแกสมัยนั้น ท่านพระครูสั่งให้ไปนั่งกรรมฐานในป่าช้าและพาไปฝึกธุดงค์แบบค้างแรมในป่าเทือกเขาภูพาน อำเภอนาแกเลย จึงอย่าแปลกใจถ้าหากจะมีการฝึกกรรมฐานหลายวิธี เพราะเป็นลูกศิษย์หลายสำนักนั่นเอง แต่ถ้าท่านใดจะฝึกเอาแบบอย่างเดียวก็ไม่ได้ผิดอะไร หลวงปู่พระอาจารย์บุญมี ปิยธรรมโม วัดถ้ำโพธิ์ทอง บ้านแก้ง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ที่ได้มีบุญเป็นลูกศิษย์สะพายย่ามให้ท่านตั้งแต่เรียนชั้นประถมปีที่ ๑ ได้บอกแนวทางไว้ว่า การที่พระอุปปัฐฌาบอกกรรมฐานให้ตอนบวชว่า เกศา โลมา นักขา ทันตา ตะโจ นั้น ไม่จำเป็นต้องพิจารณาทุกส่วนหรอก ให้เอาอย่างเดียว เช่น เกศา ก็นั่งภาวนาว่าเกศาตลอดไป อัฎฐิก็ท่องอัฎฐิตลอดไป จนกว่าจะจิตสงบ เพราะอย่างใดอย่างหนึ่งก็ใช้แทนกันได้ แล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล
เดินจงกรมตอนแรกวันนี้ท่องพุทโธ กลับไปกลับมา พอเหนื่อยแล้วเปลี่ยนแบบมหาสติปัฎฐาน คำพูดของหลวงพ่อจรัณ ฐิตะธัมโม วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ดังก้องในหูว่าตอนยืนตรงให้กำหนด ยืนหนอ ๆๆๆ สี่ชุด แต่ละชุดให้กำหนดยืนมีแสงพุ่งจากตรงกระหม่อมลงผ่านสมอง ท้ายทอย ลงมาตามกระดูกสันหลัง ลงมาผ่านก้นกบ แยกออกขาสองข้าง แสงผ่านมาถึงฝ่าเท้า แปลว่าจบคำว่า ยืน....พอกำหนดกลับหนอ............ให้มีแสงย้อนทางจากฝ่าเท้าขึ้นมาตามขาสองข้างผ่านมาก้นกบ กระดูกสันหลัง ท้ายทอย กลางกะโหลก ทะลุขึ้นฟ้าไปเป็นอันว่าจบคำว่าหนอ......กำหนดนี้หนึ่งชุด กำหนดยืนหนอสี่ชุด แล้วกำหนดอยากเดินหนอ ๔ ครั้ง กำหนดเดินระยะที่หนึ่ง ซ้ายย่างหนอ จิตกำหนดคำว่า ซ้าย เท้าซ้ายยกส้นเท้า ปลายเท้ายังติดพื้นดินอยู่ กำหนดย่าง......เท้าซ้ายค่อย ๆ ลอยกลางอากาศ เคลื่อนไหวออกไปข้างหน้า กำหนดหนอ.....ปลายเท้าซ้ายแตะพื้นดินพอดี ขวาย่างหนอ กำหนดเหมือนกันต่างกันแต่ซ้ายกับขวาเท่านั้น กำหนดสลับไปมาอย่าหลงสติซ้ายขวาไปเรื่อยๆ ไม่ต้องอยากรู้นั่นเห็นนี่ ถ้าคิดเมื่อไหร่จะเป็นโลภะทันที เพราะว่าเมื่อส่งจิตออกนอกกายเป็นสมุทัย คือเหตุแห่งทุกข์ม่านกิเลสก็มาครอบคลุมจิต จึงไม่สงบสว่างสดใสซักครั้ง กำหนดแบบนี้ ๒ รอบเดินจงกรม ขณะจะกลับตัวข้างกองไฟหลับตาอยู่ในนิมิตเห็นภาพผู้ชาย ๒ คน ต่างพากันแก้ผ้า คนหนึ่งหัวล้าน อีกคนหนึ่งยังหนุ่มแน่นอยู่ กำลังพากันวิดระหัสน้ำบนเสาที่ปักริมทะเล สาดน้ำหันหน้าออกไปอยู่ริมทะเล น้ำทะเลประมาณโคนขา มีคลื่นทะเลขนาดเล็กสาดซ่า ๆๆ หลายครั้ง นิมิตนี้ต้องมีสติพิจารณาเป็นไตรลักษณ์ มีขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เสมอ



รูปที่ ๓๖ หลวงปู่บุญมี ปิยธรรมโม วัดถ้ำโพธิ์ทอง
ตำบลบ้านแก้ง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม และอัฎฐิของท่านที่กลายเป็นพระธาตุ

นิมิตแบบนี้ หลวงปู่พระอาจารย์บุญมี ปิยธัมโม วัดถ้ำโพธิ์ทอง บ้านแก้ง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ท่านเมตตาสอนไว้ตั้งแต่เด็กว่า พระธรรมมาสอนหรือเกิดมีปัญญาพิเศษ ได้พิจารณาแก้ปัญหาธรรมนี้ว่า มนุษย์เราเกิดมาแต่ตัว ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ จนหัวล้านจะลงโลง ต่างก็ไม่มีสมบัติอะไรติดตัวไปได้เลย ซ้ำยังหลงโง่อยู่ในทะเลวัฎฎะ ยึดหลักถือเอาว่าใช่ตัวเรา ตัวฉัน ตัวกู ซ้ำพากันเอามือวิดน้ำ (ภาษาอิสานว่า สะน้ำ ) เติมลงไปในทะเลวัฏฏะโลภะ วัฏฏะโทสะ วัฏฏะโมหะ อยู่ตลอดเวลา อย่างนี้จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างไร เพราะไม่ใส่ใจธรรมะแล้วจะบรรลุธรรมได้อย่างไร หลวงปู่ภูพานจึงว่า คนพวกนี้ไม่หาธรรมและไม่มีทางเจอธรรม ต้องธรรมหาเข้ามาใส่ตัวจึงจะพบธรรมและบรรลุธรรม นิมิตแบบนี้ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่มาเตือนสติกระตุ้นปัญญาเท่านั้น อย่าไปหลงนึกว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ หรือท่านผู้อ่านก็อย่าอยากมารู้เห็น หรือเอาอย่างเพราะต่างคนต่างมีวาสนาบารมีมาไม่เท่ากัน ทางแก้นิมิตเพื่อความสงบของจิตให้ใจมีสติเป็นมหาสติยึดคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รูปนิมิตนี้ไม่เที่ยงแท้



รูปที่ ๓๗ พระอาจารย์เจนยุทธนา จิรยุทโธ (หลวงปู่ภูพาน)
วัดโนนสวรรค์ บ้านโนนสวรรค์ ต.พังขว้าง อ.เมือง จ.สกลนคร

หลังจากเดินจงกรมไป – กลับแบบซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ๒ – ๓ รอบ เวลาประมาณ ๐๙.๒๐ น. ระหว่างจะเอี้ยวตัวกลับเกิดภาพนิมิตเห็นผู้ชายถอดเสื้อหน้าตาไม่ชัดเจนยืนยกแขนสองข้างกอดศรีษะเบ่งกล้ามเห็นเป็นมัด ๆ เหมือนนักเพาะกาย นิมิตนี้ให้ถือเป็นวิปัสสนาว่า คนเรามักจะนึกว่าตนยังหนุ่มสาวแข็งแรงอยู่ จึงหลงตน หลงโลก ไม่ปฏิบัติธรรม คิดว่าการเวลานั้นยังยาวนาน แก่ตัวไปค่อยปฏิบัติธรรม แต่ความเป็นจริง เวลาคือพระกาฬ ที่คอยผลาญทำลายอยู่ตลอดเวลา ถ้าบุญบารมีดีอาจมีศรัทธาได้ทำทาน รักษาศีลบ้าง ส่วนปฏิบัติธรรมนั้น คอยให้อวิชชาเริ่มจืดจางก่อนแล้วค่อยให้เห็นแสงสว่างอันริบหรี่และหนทางแห่งธรรม ซึ่งเวลานั้นจะเกิดตอนไหนก็ไม่รู้ อาจหนุ่มหรือแก่ อาจตายเป็นผีแน่นิ่งไปก่อนก็ได้
ออกเดินจงกรมมานั่งสมาธิแล้วนอนพักจนถึงเวลา ๑๑.๐๐ น. ลงไปหาอาหารรับประทานอยู่ใกล้หลังศาลาโรงฉันเป็นที่พักของโยมผู้ชาย มีอาหารใส่ถาดไว้เป็นข้าวกล้อง ข้าวเหนียว อาหารก้นบาตร หมูปิ้ง ปลากรอบ ทุเรียนกวน ผสมกันมา เลยต้องพิจารณาเป็นอาหารเรปฏิกูลสัญญา อิ่มแล้วเดินไปที่โรงครัวขอสมอดองกับคุณยายมาทาน ๘ ลูก พร้อมพริกเกลือ ดื่มน้ำตามมาก ๆ หลังชาร์ตแบตเตอรี่มือถือ คนก็ชาร์ตอาหารลงกระเพาะ นอนพักจนบ่ายสองโมงแล้วเดินกลับขึ้นมาที่พักกุฏิหมายเลข ๓ เดินจงกรมต่อจนเวลาประมาณบ่าย ๔ โมงคราวนี้ฟืนหมดแล้วจึงเดินจงกรมไปหาฟืนได้หลายหลัว
บ่ายสี่โมงกว่าอาบน้ำท่าแต่งตัวเสร็จเกือบหกโมงเย็น รีบก่อไฟนั่งกรรมฐานจนเกือบหนึ่งทุ่มเก็บของลงกระเป๋าพร้อมผ้าห่มหมอน ตากผ้าไว้ที่ราวเหล็ก เสร็จแล้วขับรถกระบะดีแม็ค อีซูซุทะเบียนตองห้าไปจัดรายการวิทยุรายการเวทีอาสาเพื่อประชาชน ที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดสกลนคร คลื่น ๙๑.๒๕ เมกกะเฮริร์ต ตั้งแต่เวลา ๓ ทุ่ม ถึง ๖ ทุ่ม กับคุณหมอศิริโรจน์ กิตติสารพงษ์ และอาจารย์ณรงศักดิ์ ถีระวงษ์ ถ้าหากฟังทางเวปไซด์ เปิดอินเตอร์เน็ตไปที่ www.prd.go.th แล้วคลิก วิทยุออนไลท์ที่ สวท.สกลนคร เท่านี้ท่านก็ได้รับฟังเรื่องดี ๆ ประเทืองปัญญา หรือจะแสดงความคิดเห็นได้ที่หมายเลข ๐๔๒ - ๗๑๔๕๗๒ หรือ ๐๔๒ - ๗๑๔๕๘๑
กลับจากสถานีวิทยุ สวท.สกลนครเวลาหกทุ่มขับรถมาถึงวัดป่าหนองไผ่ประมาณ ๒๐ นาที เดินขึ้นมาที่พักลานเดินจงกรมก่อไฟต้มน้ำทานโอวัลติน ๑ แก้ว นั่งกรรมฐานข้างกองไฟจนตี ๒ กว่า อาศัยกองไฟแก้หนาวอากาศขณะนี้ประมาณ ๑๒ – ๑๓ องศา สุมฟืนเข้ากองไฟแล้วล้มตัวลงนอนฝันเห็นแขกหนวดกำลังทะเลาะกับญาติพ่อแม่เด็ก ตกใจตื่นขึ้นมา ความฝันนี้คงจะหมายถึงความวุ่นวายของชีวิต ญาติกันพี่น้องกันก็ทะเลาะกันเพราะความโลภ อัตตาตัวตนเห็นแก่ตัว จึงต้องทะเลาะแก่งแย่งกัน วุ่นวาย นิมิตนี้คงหมายถึงเราต้องกลับไปพบเจอความสับสนวุ่นวายทางโลกมนุษย์ ไปพบกับสังคมที่มีแต่อัตตา ตัวกู ของกู และหน้ากากของคนที่ไม่อาจจะรู้ใจ
เช้าวันนี้อากาศหนาวมาก แต่อาศัยห่มผ้าห่มจึงอดทนได้บ้าง เพราะความจริงชีวิตคือการอดทนอยู่แล้ว คุณพ่อ ตงเค่งเซ็ง จึงบอกให้ลูกหลานท่องจำว่า ลูกผู้ชายต้องอดทนและต่อสู้

16.วันที่หกแห่งการปฏิบัติธรรม...วันเสาร์ ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑...หลักธรรม ระบำชา

วันที่หกแห่งการปฏิบัติธรรม
วันเสาร์ ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
หลักธรรม ระบำชา
ดูนาฬิกาเวลาตีสามพอดีลุกมาเดินจงกรม เสียงย่ำกลองดึกของวัดที่อยู่ไกลๆ ดังตุ้มโมงๆๆ อือ........ มาตามสายลม คืนนี้ลมพัดอ่อนรวยรินไม่รุนแรง เสียงกบเขียดร้องระงมที่ริมห้วยก้องป่า ท่อนฟืนลุกติดเปลวไฟดังเปลี๊ยะ ๆ เปลวไฟลามเลียพึบพับหวังว่าคงได้ชงชาอีกซักกาแน่ เดินจงกรมไม่นานมานั่งกรรมฐานต่อเห็นสมควรแก่เวลานอนตะแคงสีหไสยาสน์ด้านซ้ายเอาแขนซ้ายหนุนขมับ หลับไปในท่านั้น


กลุ่มรูปที่ ๓๑ เดินจงกรมตอนตีสามอาศัยแสงเทียนส่องนำทาง

เวลาตีห้าครึ่งรู้ตัวตื่นขึ้นมาแขนเป็นเหน็บเลย สายลมหนาวโชยพัดมา กองไฟยังลุกโชนพอได้อาศัยความร้อนมาขับไล่ความเย็นเยือก เลยชงชาดื่มอีกหนึ่งป้าน ตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มทอแสงเรื่อเรืองมาอีกแล้ว ท่านพระสุริยเทพไม่เคยคดโกงคอรับชั่นเวลาเหมือนมนุษย์ หากมนุษย์เราจะมีคำสัจจะดั่งตะวันคงจะดีมาก สัจจัง เว อมตะวาจา ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ความร้อนจากกองไฟยามลุกโชนได้ขับไล่ความหนาวเหน็บเยือกเย็น มนุษย์เราก็เช่นกัน ยามสุขมาก ทุกข์ก็น้อย ยามทุกข์มากสุขก็น้อย ความจริงแล้ว พระท่านว่าความสุขหาได้มีไม่ มีแต่ความทุกข์ครอบครองอยู่ จึงบอกกฎให้เราสำนึกว่า อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าพอมีสติบ้าง เอากฎอริยสัจ ๔ นี้ มาพิจารณาทุกเรื่องราวแล้ว เราก็คงจะเห็นจริงดั่งนั้น เกิดมาก็ทุกข์ โตมา(แก่)ก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ ก่อนตายก็ทุกข์ ตายแล้วยิ่งทุกข์ ในมหาภูตรูป ๔ จึงเป็นกฎธรรมชาติที่เราทุกคนควรทำความเข้าใจให้เป็นธรรมดาของธรรมชาติ ยึดมั่นมากเท่าใดก็เป็นทุกข์มากเท่านั้น ไม่ยึดก็ไม่อยาก ไม่ทุกข์
ลมหนาวเช้าตรู่พัดมาซู่ซ่า......ไก่ป่ากระชั้นเสียงขัน เอ็ก อี้ เอ้ก เอ็ก ๆๆๆ เป็นนาฬิกาป่าบอกโมงยาม กระรอกหมู่ ๓ -๔ ตัว ทั้งสีขาว สีดำกระโดดไต่จากยอดไม้ต้นนั้นไปยอดไม้ต้นนี้ส่งเสียงดังอัก อี๊ก อัก ๆๆๆๆ หมู่นกตกใจกระรอกบินโฉบจากไม้นั้นไปไม้นี้ เหมือนกับคนเราเลย คือหนีจากทุกข์นั้นย้ายไปทุกข์นี้ ผ่องถ่ายความทุกข์ย้ายความทุกข์ไปเรื่อยๆ เพื่อหาความสุข ทั้งที่ความจริงแล้ว ทุกข์สุขอยู่ที่ใจต่างหาก



รูปที่ ๓๒ กระรอกเผือกหาอาหารยามเช้าตรู่



รูปที่ ๓๓ พระอาทิตย์กำลังทอแสง



ความจริงโลกนี้ทุกสิ่งเหมือนนาฬิกาเตือนกันและกันตลอด บอกความจริงให้ตลอดแต่เราไม่รู้ตัวเอง สายลมหนาวบอกเวลาการเปลี่ยนแปลงสภาพความทุกข์ทางกาย พระอาทิตย์บอกเวลาแจ้งสว่างมืดค่ำ ไก่ป่า ขันร้องบอกว่า เช้าแล้วนะนี่ ๆๆ เอ๊ก อี่ เอ้ก เอ็กๆๆ นกโพระดกหรือนกกะโปกร้องบอกเวลามีภัยบางอย่างเข้ามาหรือร้องหาคู่ โปงใช้ตีบอกเวลาพระไปบิณฑบาตให้โยมในหมู่บ้านได้รู้ล่วงหน้า น้ำชาจืดบอกให้รู้ว่าควรจะเปลี่ยนชาใหม่ได้แล้ว ใบไม้แห้งหล่นปลิวหมายถึงความตาย ผมหงอกขาวสายตายาวบอกว่าเริ่มชราแล้ว มัวหาเรื่องเสียเวลาไปใย ทำไมไม่รีบหาสมบัติใจและเส้นทางวิมุติเล่า เห็นดังนี้ไม่รู้อีกหรือว่า นาฬิกานั้นมีอยู่ทั่วไป สุดแต่ใครจะมีปัญญาอ่านออก ดูออก ไขรหัสนั้นออก ความไม่รู้และความไม่อยากจะรู้นั่นแหละ คือ อวิชชา
เรื่อเรื่อตะวันฉาย เปล่งประกายสาดทอแสง
อรุณจะเริ่มแรง เปล่งประกายสุริยันต์
ไก่ป่ากระชั้นถี่ ราตรีรี่หนีหน้าหัน
กระรอกเสียงชักชวนกัน เต้นยอดไม้หาภักษา
ลมหนาวพัดพราวจิต สะกิดในเตือนใจว่า
ฤดูกาลเปลี่ยนผันมา อายุสั้นทุกวันคืน
เร่งรีบสดับธรรม นำปฏิบัติอย่าขัดขืน
รู้ธรรมรู้โลกยืน หยัดทระนงคงเป็นธรรม

เขียนบนทางเดินจงกรม กุฏิหมายเลข ๓ วัดป่าหนองไผ่ สกลนคร
ฤาษีเอก อมตะ
เช้าตรู่วันเสาร์ ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑

ความเป็นจริงของการดำเนินชีวิตหลายวันมานี้ ต้องยอมยกให้ความหอมกรุ่นละมุนละไมของชาอู่หลงก้านอ่อนจากอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย หลายครั้งคราที่มีความเหน็ดเหนื่อยและเงียบเหงา การเลือกชา การต้มน้ำให้เดือด การเตรียมอุปกรณ์การชงทั้งป้านชา ถ้วยชา รูปลักษณ์และสีสัน การชงและการเตรียมจิตใจ ตลอดทั้งการจิบชิมอย่างละเลียดละเมียดบรรจง ให้เกียรติแก่ชา เหล่านี้เรียกว่า วิถีแห่งชา น้อยคนนักที่จะเข้าใจ ในสำนวนหนังสือจีนกำลังภายใจจึงพูดถึงจอมยุทธ์ทั้งหลายว่า ถ้าหากจอมยุทธ์ใดมีความรู้ให้แตกฉานเพียงหนึ่งในห้าอย่าง ผู้นั้นจัดว่าเป็นยอดจอมยุทธ์ ซึ่งทั้งห้าอย่างได้แก่ กระบี่ หมากรุก อักษร ชา และสุรา จึงไม่แปลกที่เมื่อมาอาศัยในป่าที่ร่มครึ้มเย็นสงบของวัดป่าหนองไผ่แห่งนี้ เพื่อนแท้ที่ได้พึ่งพาอาศัยได้แก่ ชา เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ ชา จึงต้องเขียนคำคล้องจองไว้ซักบท

ระบำยอดชา
ยามหนาวลมพัดหนาว ระรานร้าวเข้าดวงจิต
กองไฟจะรอนริด สุมฟืนเข้าเฝ้ากันหนาว
ยกกามาต้มน้ำ ไอเดือดพร่ำผุดฟองพราว
ไอน้ำหรือไอหนาว คละคลุ้งให้ไหลปนกัน
ป้านชาน้อยเพียงนิด จะลิขิตความหมายมั่น
ยอดชาใส่ลงพลัน อู่หลงขอดกอดเม็ดชา
น้ำร้อนรินลงราด ให้นวยนาดคลายปรารถนา
คลี่บานปานนภา เมฆขาวพราวเริงระบำ
น้ำร้อนรินซ้ำสอง ชาเริ่มมองดูบานฉ่ำ
คลี่คลายขยายคำ ครวญครุ่นคิดพินิจความ
ชาบานไม่เย็นชา กรุ่นอุราวะวาบหวาม
หอมหวนอบอวนยาม จิบอู่หลงโต้ลมหนาว
ชาบานสรานจิต หวังชีวิตพิสุทธิ์พราว
กรุ่นไอหอมหวนคราว ชิมยอดชาซึ้งอารมณ์
รินหลั่งจากป้านชา ยิ่งสุราหรือมาข่ม
ชาหอมชวนดอมดม จิบค่ำเช้าพราวกาพย์กลอน
วิถีแห่งยอดชา มีคุณค่าไม่หลอกหลอน
กลางป่าเนินดินดอน ชารสหอมไม่เสื่อมคลาย
วิถีแห่งสุรา เมาเหมือนบ้าดูน่าหน่าย
เสียคนมามากมาย มวลมิตรแตกแยกจากกัน
ระบำแห่งยอดชา เสพยิ่งพาจิตสุขสันต์
ค่ำคืนทิวาวัน จิบยอดชาพาสุขใจ
เขียนที่ข้างกองไฟปลายทางเดินจงกรมกุฏิหมายเลข ๓
ขณะชงชาโต้ลมหนาวดูธรรมชาติงาม วัดป่าหนองไผ่ จังหวัดสกลนคร
ฤาษีเอก อมตะ
เช้าตรู่ เวลา ๐๗.๒๐ น. วันเสาร์ ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑





กลุ่มรูปที่ ๓๔ ต้มน้ำร้อนชงชาอู่หลง อาชิง เจ้าของร้านชา ชิงชิง บ้านสบรวก
สามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ส่งมาให้ชิมเป็นประจำ

เวลา ๙ นาฬิกา เดินทางออกจากวัดป่าหนองไผ่เพื่อมาในเมืองสกลนคร แวะตลาดสมเกียรติ เพราะวันเกิดทั้งทีไม่ได้ทำทานให้ผู้ทุกข์ยากลำบากก็ดูกระไรอยู่ แวะเข้าไปที่แผงขายผักของคุณยายจูขอซื้อผัก ฟักทอง มะละกอ มะเขือเทศ กระเทียม หัวหอม ดอกไม้ อื่น ๆ จำนวน ๕๐๐ บาท แล้วแต่จะจัดให้ คุณยายจูไม่ขอรับเงินและขอร่วมบุญด้วย แถมให้สามล้อขนไปใส่รถให้ด้วยพร้อมกับบอกว่า มีงานบุญที่ใดให้มาบอก บุญไม่มีซื้อขาย อยากได้ต้องทำเอง คุณยายตุ๊กแกเจ้าของตลาดตุ๊กแกก็ฝากข้าวกล้องมาด้วยหลายถุง ขอกราบขอบพระคุณที่ร่วมบุญด้วย

รูปที่ ๓๕ คุณยายจูตลาดสมเกียรติผู้มีจิตใจดีงาม

ขับรถไปถวายที่วัดคำประมง หลวงตาปพนพัชน์ไม่สบายเลยเอาไปฝากไว้โรงครัวให้แม่ชีทำอาหารถวายพระและแบ่งผู้ป่วยตามเหมาะสม หลวงตาให้เด็กเตรียมอาหารเที่ยงไว้รอ หลังทานข้าวแวะไปที่กุฏิประภาศรีนอนพักและให้ไอ้หนุ่มไทโส้ทำสะอาดดายหญ้าข้างกุฏิและรดน้ำต้นไม้ไม้ดอกข้างกุฏิให้ ส่วนเราก็นอนหลับไปจนบ่าย ๔ โมง ตื่นมาไอ้หนุ่มไทโส้บอกว่าระหว่างดายหญ้ามีผู้หญิงนุ่งชุดขาวมายืนดูเขาทำงานที่ประตูกุฏิ สงสัยเทวดาเฝ้ากุฏิมานิมิตให้เห็น กลับมาบ้านสกลนครเตรียมสิ่งของรอเดินทางไปวัดป่าหนองไผ่
เวลา ๓ ทุ่มกว่าออกจากบ้านขับรถตองห้ามาถึงวัดป่าหนองไผ่เผื่อก่อไฟเก็บของเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึง ๔ ทุ่มแล้ว หาหมอนผ้าห่มผ้าผวยมานั่งกรรมฐานที่ทางเดินจงกรมจนเกือบห้าทุ่ม สุมฟืนเข้ากองไฟพอลุกโชนแล้วนอนหันหัวเข้าหากองไฟ หลับไปไม่ฝันอะไรเลย

15.วันที่ห้าแห่งการปฏิบัติธรรม ....วันศุกร์ ที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ ให้ที่พัก

วันที่ห้าแห่งการปฏิบัติธรรม
ประมาณตี ๔ กว่า ตื่นขึ้นมากลางดึกควานหาไฟฉายกับไม้ขีดจุดเทียนพอเห็นแสง อากาศหนาวเหน็บมาก ลุกมานั่งกรรมฐาน โชคดีที่งูมาขอแบ่งกุฏิที่พักและแบ่งที่นอนรองพื้นกันหนาวจากซีเมนต์มาให้ และได้ผ้าผวยนุ่ม ๆ มาอีกผืนหนึ่ง จึงพอประทังได้บ้าง แต่เปรียบเทียบดูแล้วทั้งสองคืนที่ผ่านมานอนบนทางเดินจงกรมอากาศหนาวเย็นไม่ต่างกัน วันแรกหนาวเย็นนอนไม่มีผ้าห่ม วันที่สองหนาวกว่าแต่มีผ้าห่มบ้าง แต่ทั้งสองวันได้จิบชา อู่หลงก้านอ่อนหอมละมุนเคล้าสายลมหนาวและหมอกโชยสายรางรินพอเย็นลึกล้ำ แค่นี้ก็เป็นสุขที่ไม่เจืออามิสแล้ว หนาวกายใจยังพอทนได้ แต่หนาวกิเลสช่างน่ากลัวยิ่งนัก
หนาวกายห่มผ้าให้ คลายหนาว
หนาวใจผ่อนลงคราว เคียงใกล้
หนาวลมเริงลมราว หลบลี้ เคหาสน์
หนาวกิเลสนั่นไซร้ ห่อนรู้คลายหนาว
เขียนระหว่างนั่งบนทางเดินจงกรม กุฏิหลังที่ ๓
ฤาษีเอก อมตะ
วันศุกร์ ที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑

เวลาหกโมงเช้า ลงไปที่ศาลาเพื่อเอากล้องถ่ายรูปกับสมุดบันทึกและปากกาจะถ่ายรูปงูที่กุฏิ ท่านพระอาจารย์สุธรรมนั่งรอลูกศิษย์คณะพระเณรจะไปบิณฑบาตอยู่พอดี เข้าไปกราบท่าน ท่านก็เอ่ยปากสนทนาวิสาสะว่า หนาวมากไหม แล้วให้โอวาทตอนเช้า แต่ขอเรียกว่า ธรรมะรับอรุณ ดังนี้
“คนเราควรมีสมบัติทางใจให้มาก ทั้งนี้มิได้ปฏิเสธสมบัติทางกายว่าเป็นสิ่งที่ควรแสวงหา แต่มันจะอยู่กับเราได้ไม่เกิน ๑๐๐ ปี สมบัติเหล่านั้นก็ต้องพรากจากเราไปเสียแล้ว แต่สมบัติทางใจที่เกิดจากการบำเพ็ญภาวนานั้น ถึงแม้ว่าเราจะหมดลมหายใจไปแล้ว สมบัตินั้นก็ยังคงติดตามเราตลอดไป ดังนั้นไม่ว่าฆราวาส คฤหัสถ์ บรรพชิต ควรพิจารณาหาสมบัติทางใจไว้มาก ๆ จะได้นำไปไว้ตลอดไปมิให้สูญหาย ส่วนสมบัติกายนั้นก็หาไปเท่าที่จะทำได้ อย่าหลงกับมันมากเกินไป แต่สมบัติใจให้มีมากยิ่งขึ้นไป”


รูปที่ ๓๐ หลวงพ่อพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม ให้โอวาท ธรรมะรับอรุณ
ฟังธรรมะรับอรุณด้วยความปลาบปลื้มใจแล้วเดินไปเอากล้องถ่ายรูปที่รถยนต์อิซูซุ หมายเลขทะเบียน บ 6555 เพื่อมาถ่ายรูปงูในกุฏิตัวใหญ่เข้าใจว่า จะเป็นงูสิงห์ทองหรืองูก้านตาว ภาษาฝรั่งว่างู Pytus หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้ว เก็บสิ่งของเครื่องใช้จะเดินทางไปในเมืองสกลนคร ท่านพระอาจารย์สุธรรมมีเมตตาร้องบอกว่า ให้ไปทานข้าวก่อนที่โรงครัวก่อน ด้วยความเกรงใจในความเมตตาปราณีของท่านจึงต้องระเห็จไปโรงครัว เจอโยมป้าเจ้าของร้านค้า ผู้ฐานะดีมีกะตังส์มากมายขายสินค้าในเมืองสกลนคร ผู้รวยทั้งเงินและน้ำใจแต่ไม่หยิ่ง ซ้ำใจดีอย่างมากร้องเรียกไปทานอาหารเช้าด้วยกันซึ่งมีอยู่มากมาย หลายขนาน คุณป้าหลายท่านพอรู้ว่าเราเป็นใครต่างรุมให้คำแนะนำเรื่องการเตรียมตัวเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น บางท่านบอกว่าให้เอาถุงพลาสติคขนาดใหญ่ที่คนสวมได้ไปด้วย โดยให้นำมาตัดเป็นเสื้อกั๊กใส่กันหนาว หรือใช้เสื้อร่มพลาสติคกันฝนแทนก็ได้ ส่วนของฝากให้เอาผ้าขาวม้าทอมือจาก อบต.บ้านโพนไปฝากท่าจะดี เพราะใช้งานได้หลายประการ
เวลาประมาณสิบโมงเช้ากลับจากวัดเซ็นเวลาทำงานแล้วไปแผนกดูงานมากมายจนบ่ายโมงกว่า กลับบ้านอาบน้ำท่า ซักผ้าเสร็จแล้วไปออกกำลังไดร์ฟกอล์ฟที่ปลื้มมโน ไดร์วิ่งเรนจ์ ขากลับแวะไปที่วิทยาลัยแก้ไขงานให้พรรคพวก เสร็จแล้วกลับมาบ้านอาบน้ำแต่งตัว ดูข่าวรอจนถึงสี่ทุ่มครึ่ง เดินทางขับรถไปวัดป่าหนองไผ่ช้า ๆ พิจารณาลมหายใจไปเรื่อย ว่าลมหายใจเข้า ไม่หายใจออกก็ตาย ลมหายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย จึงให้มีสติดูการเคลื่อนที่เข้าออกของลมหายใจตลอดเวลา ถ้าจะมีพุทธานุสติกำกับก็ได้ยิ่งเป็นการดี หายใจเข้า ก็มีสติว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หายใจออก ก็มีสติว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กำกับทุกครั้ง
ถึงวัดเวลาหกทุ่มเพราะเสียเวลาแวะซื้ออาหารว่างทานรองท้องพร้อมกาแฟ (ไม่ได้สมาทานงดอาหารเย็น ทางสายกลางของใครก็พิจารณาตามเหมาะสมของตนเอง อย่าเอาไปเทียบกัน) หลังจากก่อไฟที่หัวทางเดินจงกรมแล้ว ต้มน้ำร้อนจะชงชาระหว่างรอน้ำเดือดนั่งกรรมฐานรอ พอเคลิ้ม ๆนิมิตว่า ผู้หญิงคนหนึ่งสาวสวยเดินอ้อมโค้งมาจากทางฟากก้อนหินปลายทางจงกรมอีกฟากหนึ่ง เธอร้องทักมาว่า “อาจารย์ขา” เลยตื่นจากสมาธิ และในนิมิตแวบหนึ่งเห็นพระสงฆ์อายุมากแล้วยืนอยู่ ๑ รูป นิมิตแบบนี้ อย่าลืมต้องพิจารณาเป็นไตรลักษณ์เสมอ รูปนั้นมีขึ้น ตั้งอยู่ซักครู่ แล้วดับหายไป
สำหรับคืนนี้รู้สึกปวดเส้นเอ็นตรงที่หลังต้นสะบักซ้าย จึงต้องนอนสีหไสยาสหลับไป ตื่นอีกทีไฟในกองมอดแล้ว ต้องสุมฟืนใหม่ให้แสงสว่างและความอบอุ่น คืนนี้ถือผ้าห่มฝรั่งเศสมาและสวมถุงเท้า ๔ ชั้น อากาศหนาวประมาณ ๑๓ องศา พอทนอยู่ได้ ตอนนอนหลับฝันว่า ไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ เป็นผู้ชายคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งถามหาฟืน แต่ยังไม่รู้เรื่องกันเลยตื่นก่อน

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

14.วันที่สี่แห่งการปฏิบัติธรรม วันพฤหัสบดี ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ มาลองใจ

ตื่นมาตอนตีหนึ่งอากาศหนาวเย็นถึงหัวเข่าลุกขึ้นชงชาอู่หลงดื่มร้อน ๆ ๑ - ๒ แก้ว แล้วเดินจงกรมภาวนาจนถึงตีสอง ท่องคาถาปู่ฤาษีปุญตะกะโรดาบส อิทธิ ปุญญาโน กะโรมิ อิทธิ ปุตตะกะโร โหมิ หรือคาถามหาปรารถนาในยันต์มหาปรารถนาของหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ
ชิ นะ ตา ชิ มา นิ โน เย นะ เย โน ธิ สิ วะ ภา ธิ สิ
ชิ นะ ตา ชิ มา นิ โน เย นะ เย โน จะ สัต วะ ภา จะ สัต
แล้วตามด้วยคาถามหาโชคลาภ รุ รัต เถ ขุ ฝอ จากนั้นตามด้วย หัวใจคาถามหาปรารถนา โน เย นะ วะ ภา และหัวใจบรรลุธรรม โน เย นะ เย โน เผื่อหมดตามที่ว่ามานี้เวลาก็ล่วงตีสองแล้ว หยุดพักทานกาแฟและชงชาดื่มร้อน ๆ อีก ๒ แก้ว อากาศเย็นเยือกเสียดแทงเข้าฝ่าเท้าและหัวเข่า คืนพรุ่งนี้จะต้องหาถุงเท้าหนา ๆ มาเพิ่มอีก ซักคู่สองคู่
แสงไฟจากเชิงเทียนส่องสว่างวับแวมดังพึบพับ รอบตัวตามราวป่าขณะนี้ มีเสียงคล้ายสัตว์ป่าเดินหากินกลางคืน เสียงตุ๊กแกร้องดังมาเป็นชุด ตุ๊กแก่ ๆ๔ – ๕ ครั้ง คล้ายจะบอกว่า ใครคนที่ชื่อ ตุ๊ก นั้นแก่(แล้ว) ไก่ป่ากระชั้นขันตีปีกพับ ๆ ร้องปลุกครั้งแรก สายลมตอนดึกยิ่งเพิ่มความเหน็บหนาวเปลวเทียนลู่ลมไปมาวิบวับ เลยนั่งกรรมฐานต่อจนตี ๒
เวลาตี ๒.๔๕ น. ในกรรมฐานนิมิตเห็นสาวสวย ๔ นาง แต่งกายในชุดส่าหรีอินเดียยืนอยู่ สองคนยืนหน้าสองคนยืนหลังซ้อนกัน ในมือถือถาดไม้สี่เหลี่ยมเต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทอง กำไร สายสร้อย ยืนอยู่ สงสัยว่าเทวดามาลองใจ แต่เห็นแล้วก็ให้ผ่านเลยไป ถือว่าเป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่ายึดติดเพราะว่าไม่ใช่ของจริง ไม่มีจริง เห็นให้สักแต่ว่าเห็น รูปไม่เที่ยง ทั้งในกรรมฐานและนอกกรรมฐาน รูปไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในรูป อย่าไปยึดติด ถ้าเทวดาเอามาให้จริง สงสัยรวยเละกิเลสคงหนาขึ้นอย่างมาก
เสียงตุ๊กแกร้องทักก้องราวป่าในเวลาดึกดื่นค่อนคืนนี้ว่า ตับแก่ ๆ ๆ ๆ เป็นจังหวะ ๔ – ๕ ครั้ง แหงนหน้าดูท้องฟ้าดาวระยิบระยับเกลื่อนราตรี ลมนิ่งสงัดแล้วแต่ความหนาวเย็นไม่ยอมหยุดนิ่งกลับเพิ่มดีกรีมากขึ้นกว่าเก่า เสียงใบไม้หล่นดังกั๊บแก๊บ ๆ ลางทีกิ่งไม้เล็ก ๆ หักดังปริกปรักเหมือนเสียงคนพูดคุยกัน อย่าตกใจให้มีสติพิจารณาว่า เสียง เสียงก็มีขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหมือนกัน
เวลาตี ๓ ลุกขึ้นเดินจงกรมอีก คราวนี้เจริญคาถาฤาษี โอม ฤ ฤา มหา ฤ ฤา พุทโธมหาลาภัง ธรรมโมมหาลาภัง สังโฆมหาลาภัง สลับกันไปมา ระหว่างกำลังเดินเวทนาก็เกิดขึ้นที่ฝ่าเท้า แม้จะสวมถุงเท้า ๑ คู่ แต่ทางเดินจงกรมเป็นพื้นซีเมนต์ก็ดูเหมือนจะเพิ่มความเย็นมากยิ่งขึ้น ๆ ซ้ำแผ่ซ่านขึ้นมาจากฝ่าเท้าจนถึงหัวเข่า เจ้าฝ่าเท้าก็ดูเหมือนจะรับความเย็นได้ไวมาก เหลือเกิน ขณะเดียวกันตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงหัวเข่าก็เย็นซ่านขึ้นมาจนเป็นเหน็บ ไม่รู้ว่าขณะนี้อุณหภูมิเท่าไหร่ คาดเดาว่าประมาณ ๑๒ -๑๕ องศา เพราะเทียบเคียงความรู้สึกดูแล้วใกล้เคียงกันกับความหนาวเย็นที่อุทธยานแห่งชาติน้ำหนาวที่เคยไปเมื่อ ๓ ปีก่อน เพื่อความแน่ใจจะไปซื้อเทอโมมิเตอร์มาแขวนดูอุณหภูมิวันพรุ่งนี้ การแก้ความหนาวได้แต่ท่องคำภาวนา ฤ ฤา ให้ความเร็วมากขึ้นจะได้ลืมเวทนา เวทนาทั้งสามอย่าง สุขเวทนาคนชอบมากเพราะเพลิดเพลินดี เจริญใจกาย เลยติดยึดและลุ่มหลง กลายเป็นโมหะ พอพลัดพรากของรัก ของพอใจ ของชอบใจก็เป็นทุกข์ ทุกขเวทนาคนไม่ชอบเพราะทรมานกายใจ เลยไม่อยากยึดติด อยากสลัดทุกข์นั้นออกไป กลายเป็นความไม่พอใจ ไม่ชอบใจ พอได้ของที่ไม่รัก ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ก็ทุกข์อีก ภาษาอิสานว่า อุกอั่งโหใจ๋ (สำเนียงผู้ไทยายราศีว่า อุกอั่งมะโหเจอ ) อุเบกขาเวทนา ความไม่ทุกข์ไม่สุข เฉย ๆ กลาง ๆ มีก็มี เสียก็เสีย ได้ก็ได้ กลาง ๆ จิตไม่หวั่นไหวสนใจอะไรมาก รู้แล้วละปล่อยวาง
ตี ๔ นั่งกรรมฐานต่อถึงตีสี่ครึ่ง เอนหลังนอนพักเผลองีบหลับไปจนถึงหกโมงเช้าพอดี ลุกมาเดินจงกรมต่อเล็กน้อย มือคว้าถือกล้องถ่ายรูปไปหาถ่ายบรรยากาศยามเช้า อากาศหนาวเย็นลมพัดต้นไม้ไหว ไปมาโยกเยก เสียงต้นไม้ปลายทางเดินจงกรมโดนลมบิดลำต้นดังเอี้ยดอ้าด แสงอาทิตย์ลอดราวป่ามาทะลุข้างทางเดินจงกรม เช้านี้หมู่กระรอกไม่มาหากินอาหารแถวนี้ สงสัยอากาศหนาวเย็นมันอาจนอนอยู่กรมอุตุ หรือไม่ก็ไปหา Breakfast ที่อื่น
ความจริงแล้ว เรากำลังอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งอย่าง ลมพัดไปมาไม่เคยหยุดนิ่ง ต้นไม้กำลังเติบโตเปลี่ยนไปตลอด คนเราแก่ไปทุกวัน ก้อนหินก้อนดินก็เปลี่ยนแปลง แต่ใช้เวลามากหน่อย หากเราอยากจะยึดให้มันคงที่เป็นอมตะ การยึดเอาถือเอาเลยกลายเป็นทุกข์ จะเรียกว่า หลงตนเอง หรือหลงโลกก็ได้ ภาษาพระว่า โมหะ เหลือบตาขึ้นดูต้นไม้ ยอดไม้ที่ลมกำลังพัดซู่ซ่า ตาเห็นความจริงว่าต้นไม้กำลังโอนเอนก็ไม่คงที่ หูได้ยินเสียงลมพัด ลมก็ไม่ได้พัดดังซู่ซ่า แต่พัดกระชาก กระโชก กระชั้น เสียงซู่...........เอื่อย ๆ แล้วปรับโทนไปเป็นสียงระริกของใบไม้ หมดป่าข้างหน้าก็มาข้างหลัง ใบไม้แห้งหล่นก็ทำเสียงเปาะแปะและใบไม้แห้งพลิกคว่ำหงาย เหล่านี้เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทั้งสิ้น พระพุทธองค์จึงเรียกว่า ไตรลักษณ์ คือลักษณะ ๓ อย่าง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยงตรงมั่นคง เป็นทุกข์ทั้งการยึดเอาหรือปล่อยไป ไม่ใช่ของเที่ยงแท้มีตัวตน ทุกสรรพสิ่งหมุนวนเวียนทำกาลกิริยาเกิดดับอยู่แบบนี้ตลอดเวลาและตลอดไป แม้ลมหายใจของเราก็เกิดดับเช่นกัน อย่างนี้นี่เองที่ครูบาอาจารย์ท่านจึงว่า รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น เป็นสักแต่ว่าเป็น ใครมีหน้าที่ใดก็ทำไปเท่าที่รับผิดชอบ ให้มีสติเท่าทันทุกสิ่งทุกอันทั้งทางกายและจิตใจ รู้จักปล่อยวางตลอดเวลา ภารา ทานัง ทุกขัง โลเก การแบกถือของหนักเป็นความทุกข์ในโลก เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘ ได้ไปฝึกกรรมฐานกับหลวงปู่หวา สัตตมโร (กราบขออภัยหลวงปู่ถ้าจำฉายาผิด) วัดหัวดง ทางแยกบายพาสเลี้ยวไปอำเภอท่าอุเทน ก่อนถึงตัวจังหวัดนครพนม ท่านเมตตาสอนว่า หลวงปู่บ่มีโรคอยากแล้วได๋ จึงได้พยายามจะไม่แบกของหนักอีกต่อไปตามคำหลวงปู่สอนไว้


รูปที่ ๒๗ หลวงปู่หวา สัตตมโร
ลงจากวัดป่าหนองไผ่ตอนสายไปดูงานที่วิทยาลัยแล้วกลับมาบ้านเตรียมผ้าห่มและหมอนเอากลับไปคืนยายราศรีที่นาแกตอนบ่าย ๆ สนทนาธรรมกันตามภาษาแม่ลูกพร้อมเจ๊วันพี่สาวคนโต คุณแม่ปวดหัวเข่า ได้บอกว่าเป็นเรื่องของสังขารร่างกายแก่แล้วก็เป็นแบบนี้ทุกคน ถามถึงการภาวนาแม่บอกว่าทำตลอดนั่งอยู่ก็ท่องในใจว่า พุทโธ ธรรมโม สังโฆ เลยบอกว่าดีแล้วให้ทำต่อไป นี่ก็ไปเข้ากรรมฐานที่วัดป่าหนองไผ่ พระอาจารย์สุธรรม สุธรรมโม เป็นเจ้าอาวาส ไปได้ ๓ คืนแล้วหละเพื่อเป็นการทำบุญวันเกิด คืนนี้เป็นคืนที่ ๔ และเป็นวันพระใหญ่ด้วยแต่พญามารก็ทำหน้าที่ของเขาเช่นกัน เพราะมีโทรศัพท์จากพรรคพวกให้ไปฉลองปริญญาของลูกสาวคุณยายทอง อีกคณะหนึ่งก็เพื่อนฝูงกันย้ายไปรับตำแหน่งผู้จัดการผู้จัดการแบงค์ ธกส. นัดพบเพื่อเลี้ยงที่บ้านเพื่อนอีกคน เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจเลยต้องอาศัยพระบารมีของพระอรหันต์ที่บ้านว่าคุณแม่ไม่สบายมาดูแลท่านที่อำเภอนาแก จะว่าโกหกได้อย่างไร เพราะตอนนี้ก็อยู่คุยกับแม่อยู่แล้ว ตอนนี้ก็ปวดขาก็ต้องไม่สบายนะซิ ส่วนมากน้อยเขาไม่ได้ถามเราก็เลยไม่ได้บอก แต่จะมากหรือน้อยขนาดไหนก็ไม่สบายทั้งนั้นแหละ
ตอนเย็นหลังจากลุงทิดนัด (ฤาษีนัฐสิทธิ์ฤทธิมนต์) พราหมณ์ประจำกลุ่มสร้างสรรค์เมืองนาแก (กลุ่มดี๊ดีนาแก) มัดฟ่อนข้าวเสร็จแล้ว พากันไปแวะที่บ้านริมน้ำก่ำหลังจากสนทนาวิสาสะกันแล้วได้เอายาบำรุงธาตุจากวัดคำประมงไปฝาก เอาตังส์ให้เด็ก ๆ ไปซื้อไก่ย่าง ปลาเผามาทานตอนเย็น พร้อมกับให้ลุงทิดนัดนวดตัวคลายเส้นตึงด้วยความผ่อนคลายและผ่อนคลาย มอบเงินให้ค่านวดเป็นน้ำใจไว้ ๑ ร้อยบาท


รูปที่ ๒๘ ฤาษีนัฐสิทธิ์ฤทธิมนต์
กลับมาสกลนครเตรียมอุปกรณ์ขึ้นไปนอนวัดต่อตอนดึก เนื่องจากมีแขกคนสำคัญระดับประเทศมาที่วัดป่าหนองไผ่ตอนหัววัน เราเลยต้องหลีกเวลาขับรถมาตอนสี่ทุ่ม ที่วัดป่าหนองไผ่เงียบสงัดมากเหมือนหลุดออกมาอีกโลกหนึ่ง พญามารก็ทำหน้าที่อีกหรือจะเรียกว่า ธรรมชาติช่วยเกื้อหนุนทดสอบการปฏิบัติธรรมก็น่าได้ หลังจากจุดเทียนระหว่างทางเดินจงกรมได้เดินขึ้นไปที่กุฏิหมายเลข ๓ ขณะที่ใช้ไฟฉายส่องคว้าผ้าห่มและหมอนจะมาปูรองนอนที่ทางเดินจงกรม ที่มุมห้องเห็นงูอะไรไม่รู้ตัวใหญ่กำลังขดอยู่ ไม่แน่ใจว่าเป็นงูสาหรืองูสิงทอง มองหารูในกุฏิว่ามันมาจากไหน มาได้อย่างไร ก็ไม่เห็นช่องทาง เพราะกุฏิบุมุ้งลวดตาข่ายขนาดเล็ก ไม่น่าจะเข้ามาได้ แต่เนื่องจากลืมกล้องถ่ายรูปไว้ในรถ จึงไม่ได้ถ่ายรูปไว้ตอนกลางคืน แสดงว่า งูมันคงหนาวมากจึงมาขอแบ่งกุฏินอนบ้าง ก็ดีเหมือนกัน การรู้จักแบ่งปัน การให้ทานเป็นเมตตาที่พระพุทธองค์ทรงประทานมาให้ปฏิบัติเป็นข้อแรกในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อีกทั้งหากใครมีเมตตาหาปริมาณขอบเขตจำกัดสิ้นสุดไม่ได้นานๆ เข้า ทานบารมีเต็มเมื่อใด บารมีอีก ๙ อย่างก็มาเอง ไม่ต้องไปร่ำร้องเรียกหา ไม่อยากได้ก็จะได้มาเอง อีกทั้งทานบารมีข้อแหละจะเป็นบาทฐานในการดำรงชีพทั้งทางโลกและทางธรรมต่อไป



รูปที่ ๒๙ งูสาหรืองูสิงทองขึ้นมาแบ่งกุฏินอน

การแบ่งปันกุฏิให้งูพักนอนก็ดีเหมือนกัน เพราะการออกมาตากลมหนาวที่ทางเดินจงกรมทำให้เกิดความขยันอดทน จิตตื่นอยู่ตลอดเวลา หลังจากจุดเทียนเป็นแนวทางเดินจงกรมเสร็จแล้ว มานั่งกรรมฐานเริ่มเวลาประมาณ ๔ ทุ่ม ๒๐ นาที จนถึง หกทุ่มกว่า ล้มตัวลงนอนหลับไปไม่ฝันใด ๆ ไม่มีใครมารบกวน ได้พบแต่ความสงบเงียบสงัดอันอบอุ่น....เป็นกันเอง เหมือนเป็นเพื่อนร่วมโลกเดียวกันเป็นธรรมชาติที่เราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และเราเป็นเจ้าของซึ่งไม่ใช่เจ้าของที่ยึดว่าเป็นของฉัน แต่เป็นเจ้าของธรรมชาติร่วมกันและแบ่งปันกัน ช่วยกันไปไม่มีการเคลือบแคลงสงสัย เพราะเราก็คือธรรมชาติ การค้นหาธรรมมะหรือธรรมชาติ ต้องค้นหาจากความสงบสงัดของตนเอง ประตูแห่งความสงบสงัดเปิดออกมาเมื่อไหร่ เราจะรู้เรา รู้โลก และรู้แจ้งโลก เป็นขั้นตอนไปตามกำลังแห่งสภาวะและบารมีของตน

13.วันที่สามแห่งการปฏิบัติธรรม วันพุธ ที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ ปริศนาธรรม

เวลา ๐๒.๓๐ น. ลุกขึ้นมานั่งกรรมฐานต่อไม่นานนักดูจะนั่งหลับมากกว่า รู้สึกปวดหลังปวดขาเป็นเหน็บ จึงล้มตัวลงนอน มือก็ควานหาไม้ขีดไฟจุดเทียน ๑ แท่ง พอให้มีแสงสว่าง หลับคราวนี้ฝันไปว่ามีผู้สาวสวยมาหา ทำอาการกระตุ้นต่อว่ายั่วยวนอยู่ที่บ้านในสกลนคร ในฝันนั้นว่าคุณหมอสมคิด ปิยธรรมวุฒิกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรักษ์สกล พาเจ้าหน้าที่มาจัดกีฬาและเอาการ์ดมาเชิญไปร่วมงาน ฝันแบบนี้สงสัยจะมีผู้มาทดสอบลองใจให้หลงไปตามกิเลสกามราคะ อย่างนี้แหละที่ผู้บำเพ็ญภาวนาผ่านยากที่สุด ถ้าไม่ใช้การพิจารณาอสุภะกรรมฐานแยกร่างกายให้เป็นธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ และสิ่งปฏิกูลเป็นไตรลักษณ์และเกิดจิตสอนจิตจนถ่ายถอนกิเลสตัณหา แม้กระทั่งรากได้ จึงจะหลุดพ้นแต่ก็ยากแสนยาก พูดเฉย ๆ ไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้ผลใดๆ
เวลา ๐๔.๐๐ น. ลุกมานั่งกรรมฐานต่ออีก ๑ ชั่วโมงไม่แน่ใจว่าถึงหรือเปล่า ล้มตัวลงนอนอีก คราวนี้ฝันว่าผู้สาวเก่ามาต่อว่า คราวนี้มาแรงหล่อนแก้ผ้ามานั่งคุยด้วยเลย ผิวยังขาวอวบอั๋น ปากก็ต่อว่าต่อขานว่าทิ้งหล่อนไป เราต้องมีสติพิจารณาว่า รูปนิมิตนี้เป็นนิวรณ์กามฉันทะ ต้องพิจารณาให้เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่ายึดมั่นว่าเป็นของจริงจัง มันเป็นอดีตผ่านมาแล้ว แก้ไขไม่ได้ อนาคตยังมาไม่ถึงอย่าไปคิดมัน ให้จดจ่ออยู่กับคำภาวนา พุทโธ ๆ ๆ ๆ นิมิตแบบนี้แหละเป็นเครื่องทดสอบกำลังใจดีนัก การปฎิบัติธรรมต้องเจอมารผจญตลอดเวลา หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัญโณ ท่านจึงกล่าวธรรมะไว้หลายครั้งหลายคราหลายสถานที่ว่า ไม่มีงานอะไรที่ยากเย็นที่สุดเท่ากับงานไถ่ถอนกิเลส
เวลา ๐๕.๓๐ น.ตกใจสดุ้งตื่นขึ้นมา คราวนี้ไม่ง่วงนอนแล้ว นั่งกรรมฐานต่อท่อง พุทโธ ๑ พุทโธ ๒ พุทโธ ๓.........พอถึงพุทโธ ๑๗...๑๘ อ้าว!!! เกิดหลงสติ ต้องตั้งต้นใหม่คราวนี้นับไปถึงพุทโธ ๕๐..... ก็หลงอีกต้องตั้งต้นพุทโธ ๑ ใหม่ คราวนี้ถึง พุทโธ ๘๐ .....ก็หลงสติอีก เริ่มต้นพุทโธ ๑ ใหม่ไปจนถึง พุทโธ ๙๐ ในนิมิตแวบหนึ่งเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งนั่งอยู่ ใส่แว่นตา มือถือไม้เท้ากลมเหมือนตะพดทำด้วยเงิน อธิษฐานกราบท่าน ๓ ครั้ง ขอมอบกายถวายชีวิตเป็นลูกศิษย์ท่าน แล้วเห็นคนถือกระบี่เป็นคนจีนผมยาวมัดมวยผมยืนบนก้อนหินใหญ่ สายลมพัดผ้ามัดผมและผมยาวสลวยของท่านปลิวไสว ท่านยกกระบี่ชี้ไปข้างหน้าท่าทางสง่างามน่าเกรงขามมาก รู้ในสภาวะจิตขณะนั้นว่า ท่านเป็นหนึ่งในอาจารย์โป้ยเซียน นามท่านคือ ลื่อท่งปิน นิมิตแบบนี้เป็นนิมิตที่ดี แต่อย่าหลง เพราะต้องมีสติพิจารณาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เสมอ หลังจากนั้นเก็บของออกมานอกกุฏิเพราะมีพระวินัยว่า ต้องเก็บเครื่องนอนหมอนมุ้ง (เสนาสนะ ปฏิเสวามิ) ให้เรียบร้อย
เวลา ๐๖.๓๐ น.ออกมามานั่งนอกกุฏิตรงพื้นหิน ฟังเสียงกระรอกส่งเสียงกระโดดไปมา หมู่นกก็ร้องเสียงเจื้อยแจ้ว พระอาทิตย์เริ่มสาดแสงตามยอดไม้ราวป่า อากาศหนาวเย็น แต่ป่านี้กลับสงบสงัดไร้สายลมพาพัด ป่านี้ดูเหมือนจะเป็นดงกระรอก ส่งเสียงเจี๊ยก ๆๆๆ จ๊กๆๆๆๆๆ จิ๊กจ๊ก ๆๆๆ เสียงลึกๆ โต้ตอบกันดังก้องราวป่าน่าชมมาก
ต้องกราบขอบพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกท่านที่กรุณานำข้อสอบมาทดสอบตั้งแต่สามทุ่มเมื่อคืน เริ่มแต่ฝันถึงอิสตรีมาเย้ายวนทั้งคืน จนนิมิตเห็นคูบาอาจารย์มาช่วยเหลือ รวมทั้งความง่วงเหงาหาวนอนด้วยที่รู้สึกว่าง่วงมากกว่าปกติ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าไปรับทานอาหารเย็น ดังนี้กระมังพระพุทธองค์จึงให้งดทานอาหารเย็น เพราะจิตจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ความง่วงก็ไปบ่มเพาะอาหารทำให้เกิดแก๊ส แล้วก็ไปเผาร่างกายทำให้เกิดความอ่อนเพลีย ง่วงเหงาหาวนอน ต้องนำเอาไปแก้ไขในวันถัดไป
วันนี้ต้องไปทำพิธีต้มยารักษาโรคมะเร็ง ที่อโรคยศาล วัดคำประมง เป็นการสงเคราะห์โลกตามคำอธิษฐานที่ให้ไว้ว่า ใครเกิดเป็นญาติพี่น้องสายบุญที่ทำร่วมกันมา เป็นสหชาติกันมา ขอให้มาชดใช้ตอบแทนบุญคุณกันซะไวๆ จะได้หมดหนี้เวรกรรมกัน แล้วเราก็จะได้ไปตามทางที่ฝันไว้ ออกจากวัดป่าหนองไผ่เวลา ๗ โมงเช้า เห็นเจ้ากระรอกดำกระโดดเกาะคาคบกิ่งไม้ส่งร้องส่งทางก่อนกลับ
ถึงวัดคำประมงประมาณแปดโมงกว่า หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดเครื่องของสำหรับพิธีต้มยาวันนี้เวลา ๐๙.๐๐ น. มีคนประเทศมาเลเซียมาต้มยารักษาโรคมะเร็งด้วย เขาทำงานเป็นเทคนิคเชี่ยนชื่อ Mr.Vui เป็นมะเร็งที่ปอดฉายแสงมาแล้วแต่เชื้อมะเร็งกระจาย ได้ข่าวทางอินเตอร์เน็ตเลยเดินทางจากมาเลเซียมาพบหลวงตาปพนพัชร์ จิรธัมโมที่กรุงเทพมหานคร แล้วเดินทางมาที่ อโรคยศาล วัดคำประมง Mr.vui คนนี้เป็นชาวต่างประเทศคนที่ ๓ ที่มารักษาตัว คนแรกเป็นคนลาว ชื่อ ท้าวพรหมา อยู่แขวงนครเวียงจันทร์ คนที่สอง ดร.เจคาน ชาวอังกฤษ เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยฟูกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น คนที่สามก็เป็น Mr.Vui นี้แหละ


รูปที่ ๒๖ หลวงตาปพนพัชร์ จิรธัมโม
Mr.Vui ผู้ป่วยมะเร็งจากประเทศมาเลเซีย
หลังจากทำพิธีต้มยาแล้วหลวงตาให้พากันนั่งกรรมฐาน ๙ นาที นิมิตเห็นตอไม้แห้งที่ตายแล้ว แต่ที่กลางตอไม้เห็นหัวคล้ายหัวหอมกำลังเริ่มแย้มเติบโต และเห็นเหวข้างล่างมีไฟนรกลุกโชน มีสะพานไม้พาดผ่านไฟนรกโชนขึ้นมาจนถึงสะพาน เลยบอกให้หลวงตาฟังว่า Mr.vui คงมีบุญจะเริ่มเกิดใหม่จากตอไม้แห้งที่ตายแล้วและให้ทำบุญเกี่ยวกับสะพานให้วัดด้วย
กลับจากวัดคำประมงมาที่วัดป่าหนองไผ่ เวลา ๒ ทุ่ม ก่อนมาแวะเติมน้ำมัน ๑๐๐๐ บาท เกือบเต็มถังสะใจมาก แต่ก่อนต้องง้อมัน แต่ตอนนี้ราคาถูกมากจะขับไปทั่วประเทศ(ราคาน้ำมันตอนนั้นลดลงลิตรละยี่สิบกว่า ๆแต่ตอนนี้มันขึ้นราคาอีกแล้ว ชาติหน้ามันจะลดราคาให้เรา) หลังจากจุดเทียนไขส่องทางเดินจงกรมแล้วเริ่มเดินจงกรมเวลาสองทุ่มยี่สิบนาที จนถึงสามทุ่ม ส่วนมากการเดินจงกรมจะเริ่มดังนี้ คือ
๑.ไหว้พระสวดมนต์ อธิษฐานจิตว่าจะเดินจงกรม ขอคารวะครูบาอาจารย์ เทพพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย
๒.อธิษฐานเดินจงกรม ว่าจะเดินเท่าใด หรือตามสมควร แล้วทำตามนั้น จะได้สัจจะบารมี
๓.เจริญพระคาถาเปิดโลก ว่า
อุ อู อะ อิ โอ อะ อิ อะ อิ โอ อิ อะ
อิ อะ โอ อิ อะ มะ อิ อะ
ขณะเดียวกันให้ก้าวท้าวเดินไปมาไม่ช้าไม่เร็วตามคาถาแต่ละตัวจะทำให้จิตรวมเป็นหนึ่ง จัดเป็นสมถะภาวนา จนได้เวลาสามทุ่มลงมาเอาป้านชาอาคารที่พักชาย เพื่อชงชาจีนจากเชียงราย วิธีการก็ง่าย ๆ เอาเชิงเทียนขนาดใหญ่ที่จุดหมดแล้วมาติดไฟ เอาเศษเทียนใส่ลงไป จากนั้นนำอิฐบล็อกมาวางขนาบข้าง เอาหม้อหางใส่น้ำแร่ที่ท่านพระอาจารย์สุธรรมต่อท่อมาจากบนเขาข้างกุฏิวางข้างบนอิฐบล็อกให้ถูกเปลวเทียน ไม่นานน้ำก็เดือดชงชารสชาติหอมกรุ่น ๆ จิบไป ๓ แก้ว กับแกล้มชาก็เอาความเหน็บหนาวของอากาศที่กำลังแผ่ความเย็นเยือกรอบตัวกับแสงเทียนต่างขนมหวาน คืนนี้ตั้งใจว่าจะนั่งกรรมฐานและเดินจงกรมทั้งคืนไม่รู้ว่าจะได้ขนาดไหน แต่เมื่อวานดูข่าวทีวีว่าจังหวัดสกลนครอากาศหนาว ๑๖ องศา ถูกผิดไม่แน่ใจ
เริ่มนั่งกรรมฐานที่ปลายทางเดินจงกรมหน้าเตาไฟทำจากเชิงเทียนเวลาสี่ทุ่มสี่สิบนาที จนถึงห้าทุ่มยี่สิบนาทียืนภาวนาเห็นภาพนิมิตเป็นเหมือนปราสาทราชวังซักครู่หนึ่งและมีเด็ก แต่น่าจะเป็นคนตัวเล็กมากกว่านุ่งผ้าไม่ใส่เสื้อผอม ๆ ขาว ๆ ซีด สงสัยวิญญาณมาขอบุญเลยอธิษฐานจิตแผ่บุญไปให้ แต่นิมิตแบบนี้ก็อย่าหลงสติ ต้องพิจารณาให้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เสมอ นั่งกรรมฐานต่อจนถึงหกทุ่มตรง เอนหลังลงนอนที่ทางเดินจงกรมใช้ผ้าเช็ดตัวที่ใช้ถูกพื้นกุฎิที่ไม่รู้ว่าใครซักไว้แล้วมาปูลงทางเดินจงกรม ตอนเอนหลังลงไปเจริญอาโปธาตุนิมิตเห็นลูกเป็ดน้อย ๒ – ๓ ตัวสีเขียวท้องเหลือง และหมาจิ้งจอกสีขาวหางเป็นพวง นิมิตแบบนี้ก็ต้องมีสติท่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เสมอ หลังจากนั้นนอนหลับไป รู้สึกจะมีเสียงบอกว่าฝึกกรรมฐานหลายอย่างเหลือเกินนะ คงหมายถึงเราท่องคำภาวนาหลายแบบ แต่จะเป็นอะไรก็ช่างเถิด ขอให้มีจิตสงบเป็นใช้ได้ พระพุทธองค์ยังทรงบอกไว้ตั้ง ๔๐ วิธี ใครถนัดหรือจริตเหมาะสมแบบใดก็ใช้อย่างนั้น คืนนี้ใช้กำปั้นหนุนแทนต่างหมอนอาจทรมานบ้างสำหรับผู้ยังไม่คุ้นเคย แต่สำหรับผู้ปฎิบัติธรรมแล้ว ต้องเริ่มให้ตนเองทุกข์ เพราะเป็นอริยสัจจ์ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พระพุทธองค์ไม่ได้ให้เริ่มที่สุข เพราะจะติดสุขและแก้ยากกว่าทุกข์เสียอีก นักปฎิบัติพึงระวังไว้อย่างมาก

12.วันที่สองแห่งการปฏิบัติธรรม วันอังคาร ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ มารผจญ

เวลา ๐๒.๓๐ น. ถึง ๐๓.๐๐ น. นั่งกรรมฐานเหนื่อยแล้วนอนสีหะไสยาส คือนอนตะแคงขวาเอาหมอนหนุนระหว่างซอกแขน เอาฝ่ามือหนุนขมับ ระหว่างนั้นนิมิตว่ามีผู้หญิงนุ่งชุดขาว ๒ คนลุกจากข้างตัวเดินออกไปทางประตูกุฏิ นิมิตแบบนี้อย่าสนใจ ให้พิจารณาว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รูปนี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ซักครู่หนึ่ง แล้วก็ดับไป เป็นของไม่เที่ยงแท้ถาวร อย่าหลงยึดเป็นตัวตนอัตตา ว่าฉันเก่งหรือเป็นมนุษย์วิเศษวิโสใด ขอให้จิตมีสติพิจารณาแบบนี้ และตั้งวิปัสสนาญาณตรงต่อพุทโธต่อไป
เวลา ๐๔.๓๐ น. ลุกนั่งกรรมฐานต่อ เจริญธาตุตามที่หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ สอนไว้ การเจริญธาตุก็เป็นสมถะกรรมฐานให้จิตสงบได้เช่นกัน หากเกิดฌาณสมาบัติพิเศษขึ้นมาก็ถือว่าเป็นวาสนาแต่ละบุคคล
เวลา ๐๕.๒๐ น. ลงไปเดินจงกรมตามป่าแบบสบาย ๆ พร้อมถือกล้องถ่ายรูปไปด้วยเพื่อถ่ายภาพกระรอก กระแต นกหนู ตามป่า ในป่านี้ดูเหมือนจะเป็นดงกระรอก เพราะส่งเสียงและโชว์ลีลาเป็นธรรมชาติน่ารักมาก
เวลา ๐๗.๔๕ น.นั่งกรรมฐานที่พื้นหินหลังกุฏิ นิมิตเห็นผู้หญิงนุ่งชุดดำเดินมาถลกกระโปรงหันสะโพกเหลือแต่กางเกงในสีดำบาง ๆ หันหลังมาหา แต่เราไม่สนใจเพราะวิธีแก้นิมิตที่มาหลอกลวงเรื่องกามฉันทะนั้น ก็เหมือนกับนิมิตอื่น คือ ให้มีสติพิจารณารูปนิมิตที่เกิดขึ้นว่า เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รูปมีขึ้น รูปตั้งอยู่ แล้วรูปก็ดับไป ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ซักอย่างในโลกนี้ พิจารณาอย่างนี้เสร็จแล้วนั่งเข้าฌานหลับไปจนถึงเวลา ๐๘.๑๕ น. ขาเป็นเหน็บเลยพักด้วยการเอนหลังลงไปที่พื้นให้เลือดลมวิ่งไหล ขณะที่กำลังเอนหลังลงนอนนี้ แวบหนึ่งเห็นพระสงฆ์ตัวใหญ่หัวล้านเถิก นุ่งผ้าเหลืองไม่ห่มจีวร นั่งฉันภัตราหารอยู่ ได้สบตาท่านหน่อยหนึ่ง ก็ให้พิจารณาแก้นิมิตนี้ว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่านึกว่าตนเองเป็นคนวิเศษ เหลือบตาไปดูที่ต้นไม้หน้ากุฎิเห็นตุ๊กแกโผล่หัวออกมาจากโพลงไม้ เลยถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน
(หมายเหตุ นิวรณ์ คือสิ่งที่ขวางกั้นจิตทำให้สมาธิไม่อาจเกิดขึ้นได้ มี ๕ อย่าง ได้แก่ ๑.กามฉันทะ คือความพอใจในกามคุณอารมณ์ ๒.พยาปาทะ คือ ความโกรธ ความพยาบาท ๓.ถีนมิทธะ ถีนะคือความหดหู่ท้อถอย และมิทธะคือความง่วงเหงาหาวนอน ๔.อุทธัจจกุกกุจจะ แยกเป็นอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านของจิต และกุกกุจจะคือความรำคาญใจ ๕.วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย นิวรณ์ทั้ง ๕ เป็นอุปสรรคสำคัญในการทำสมาธิ ถ้านิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่ง หรือหลายตัวเกิดขึ้น สมาธิก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย แต่นิวรณ์ทั้ง ๕ นี้ไม่เป็นตัวขวางกั้นวิปัสสนาเลย ทั้งยังเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาอีกด้วย เพราะวิปัสสนานั้นเป็นการเรียนรู้ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่ว่าขณะนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ก็เป็นประโยชน์ให้เรียนรู้ได้เสมอ นิวรณ์ทั้ง ๕ นี้ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของจิตที่เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ ให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจ ของจิตเช่นกัน)

รูปที่ ๒๐ ตุ๊กแกโผล่หัวออกจากโพลงไม้หน้ากุฏิหมายเลข ๓

จิตคำนึงถึงคำร้องเพลงกล่อมเด็กของคุณแม่ยายราศี ตงศิริ (พ.ศ.๒๕๕๒ อายุ ๘๘ ปี) ในยามที่ไกวอู่ผ้าขาวม้าให้ลูกหลานนอน และเป็นคำร้องของผู้ชายชาวอิสานขณะหามสิ่งของเดินลงมาจากเทือกเขาเมื่อเวลากลับจากการหาของป่า หรือเดินทางไกลว่า กับแก้กับโกน ปะโลนหัวออก ตีนกูตอกกับแก้กับโกน (ร้องซ้ำ กลับไปกลับมา ) ซึ่งมีความหมายว่า กับแก้ (ตุ๊กแก) กับโกน (อยู่ในโพลง , โกนหมายถึงโพลง) ปะโลน (โผล่) หัวออก (หัวออกมา) ตีนกูตอก (เท้ากูเตะ) กับแก้กับโกน (ตุ๊กแกในโพลง) เพลงกล่อมเด็กนี้จำเนื้อร้องได้ตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะเห็นคุณแม่ยายราศรีร้องประจำ บุญกุศลที่มาปฎิบัติธรรมคราวนี้ก็ขอมอบให้ คุณพ่อ ตงเค่งเซ็ง ที่เสียชีวิตไปแล้วหากท่านไปเกิดในภพภูมิใดก็ขอให้ได้รับกุศลนี้ หากมีทุกข์ก็ขอให้พ้นทุกข์ หากมีสุขแล้วขอให้สุขยิ่งขึ้นไป และคุณยายราศี ขอจงมีสุขภาพกายแข็งแรงอย่าเจ็บอย่าไข้ สุขภาพใจให้นิ่งสงบยึดมั่นในคำภาวนาทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อเวลาสุดท้ายของชีวิตมาถึงขอให้มีสติเป็นมหาสติทำจิตให้มีสัมปชัญญะให้ตรงดิ่งเข้าสู่พระนิพพานอันเป็นที่หวังด้วยเถิด




กลุ่มรูปที่ ๒๑ คุณพ่อตงเค่งเซ็งและคุณแม่ยายราศี ตงศิริ

เวลา ๐๙.๔๐ น. ไปล้างห้องน้ำ เพราะพระวินัยบอกไว้ว่าให้ดูแลกุฏิวิหาร ห้องน้ำห้องท่าให้สะอาด เป็นการลดอัตตาตัวตนลง จากนั้นเปิดน้ำส้มทิพโก้แท้เป็นอาหารทานครึ่งกล่อง นมกล่องตราวัวแดง พร้อมทานขนม บีบีเบเกอร์รี่ ๑ ชิ้น อย่าทานมากเอาพออยู่ได้จะได้ลดกิเลสตัวเองลงมาก ๆ


รูปที่ ๒๒ อาหารเช้าขนมบีบีเบเกอรี่และนมกล่องเล็ก
ระหว่างเคี้ยวก็ต้องมีสติท่องพุทโธ ๆ ๆ ๆ ตามการขยับของขากรรไกร ทานช้า ๆ อย่ารีบร้อนไม่มีใครแย่งกินหรอก ลิ้นสัมผัสขนมก็ให้มีสติสัมผัสแล้ว ถูกปากแล้ว แซบนัวอร่อยก็ให้มีสติรู้เท่าทันว่า รสชาดเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สติต้องกำกับว่า เมื่อซักครู่ลิ้นยังไม่เจอรส ตอนนี้เจอแล้ว แสดงว่ารสก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ตั้งขึ้นซักครู่หนึ่ง แล้วหายไป ลิ้นตวัดอาหารลงคอก็ให้รู้ว่า กำลังตวัด ระหว่างกลืนลูกกระเดือกขึ้นลง ก็ให้รู้เท่าทัน ฟันบดกันตึก ๆ ก็ให้รู้ด้วย ทานอาหารเสร็จทานน้ำตามขวดหนึ่งแล้วลงไปเดินจงกรมต่อ
เวลา 10.00 น.เดินจมกรมยาวไปเรื่อยขึ้นไปทางเพิงหินหรือถ้ำบนเขา ว่ากันว่า เป็นถ้ำที่หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เคยไปนั่งพักภาวนามาแล้ว มีพระสงฆ์ท่านพักอยู่รูปหนึ่ง ระหว่างทางผ่านลำห้วยใหญ่แต่น้ำแห้งขอดแล้ว ถ้าเป็นหน้าฝนน้ำป่าคงแรงอย่างมาก มีสะพานไม้พาดระหว่างก้อนหินได้ลงไปเดินดูระหว่างก้อนหินใหญ่ ระหว่างเดินได้ท่องพุทโธ ๆ บางครั้งก็ท่องพระคาถาเปิดโลกที่ หลวงปู่บุญมี ฐานิสโร วัดคำพระอุ้ย อำเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด เมตตาสอนให้


รูปที่ ๒๓ หลวงปู่บุญมี ฐานิสโร เมตตาสอนพระคาถาเปิดโลก

บางครั้งก็เจริญอาโปธาตุ ที่หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม เมตตาสอนให้ปฏิบัติ (การเจริญธาตุเป็นการปฎิบัติกรรมฐานตามแนวทางที่สำเร็จลุนสอนไว้ สามารถพิจารณาให้เป็นสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานได้ ผู้สนใจให้เปิดอ่านพระไตรปิฎก หมวดพระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา ซึ่งได้อธิบายไว้อย่างละเอียดมากแล้ว)


รูปที่ ๒๔ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ เมตตาสอนการเจริญธาตุ

ระหว่างกลางธารน้ำแห้ง ได้ยืนแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้กับรุกขเทวา ดวงวิญญาณที่ตกทุกข์ได้ยากทุกดวงจงมีส่วนในกุศลที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญภาวนามาตลอดที่อยู่วัดป่าหนองไผ่นี้ด้วยเถิด



รูปที่ ๒๕ ธารน้ำแห้งไปถ้ำหลวงปู่ฝั้น อาจาโร

เวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. เดินจงกรมกลับมาล้างหน้าตาตรงห้องน้ำด้านหลังศาลาโรงฉัน โต๊ะด้านหน้าที่พักโยมมีผู้เตรียมอาหารไว้ให้จำนวน 3 ถาดและมีก๊วยเตี๋ยวลาดหน้าเส้นใหญ่อีก ๔ – ๕ จาน ในถาดอาหารนั้น มีอาหารปะปนกันออกมามากมายหลายอย่าง ยกออกมานั่งวางพิจารณาพร้อมกับแผ่อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าของอาหารที่นำมาถวายพระแล้วเผื่อแผ่มาถึงเราด้วย ขอให้เจ้าของอาหารทุกท่านอยู่เย็นเป็นสุข เป็นการทดแทนพระคุณทุกท่านที่นำอาหารมาถวายให้พระสงฆ์ได้ขบฉันเป็นการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา เราได้รับประทานต่อก็เป็นบุญกุศลทั้งนั้น แม้อาหารนี้ล่วงไปถึงมด สัตว์ ตัวแดงแมงตัวน้อย เจ้าของอาหารก็ได้บุญกุศลอีกหลายทอด
หลังจากแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของอาหารแล้ว ก่อนจะรับประทานจะต้องพิจารณาอาหารให้เป็นกรรมฐานคือ อาหาเรปฎิกูลสัญญา หมายถึงความสกปรกเป็นปฏิกูล ไม่ใช่ของประณีตบรรจงสวยงามเหมือนที่เขาประดิตประดอยมาให้เรา พิจารณาว่ามันเหมือนของบูดเน่า มีหนอนไต่กินอาหารนั้นอยู่ เราจะกินอาหารนั้นเพื่อความอยู่รอด พอประทังชีวิตไปได้เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อความอร่อยลิ้น เพื่อตัดความอยากในรสชาติอาหาร ตาเห็นอาหารหลากหลายอย่างและหลากหลายสีสัน มะละกอสุกสีส้มอมชมพู ปลาเก๋าลวกบวกลูกชิ้นปลากรายราดพริกแนมเคียงข้างด้วยฝอยแครอทเป็นสีขาวราดพริกสีเหลือง ขนมเค้กครีมสีน้ำตาลเข้ม หมูปิ้ง กุนเชียง และอื่น ๆ หลากหลายสี แอบเปิ้ลสีขาวขุ่น เราต้องมีสติบอกให้จิตประหวัดไปว่า ตาเห็นรูป เหล่านี้เป็นของไม่เที่ยง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อาหารมีขึ้นมาแล้วอยู่ตรงหน้า เราไม่เรียกอาหารแต่เรียกว่าสิ่งนี้เป็นของไม่เที่ยงแท้ ไม่ใช่ของจริงโดยปรมัติ ปล่อยไว้ไม่นานก็บูดเน่า เป็นของที่จะทำให้เกิดทุกข์ และเป็นของไม่มีตัวตนกินเข้าไปไม่นานก็จะกลายเป็นอุจจาระเหม็นเน่าทุกอย่าง และทุกคน
มือเอื้อมไปหยิบอาหารเหล่านั้น จิตกำหนดดูการเคลื่อนไหวไปมา พออาหารเข้าปากลิ้นรับรส จิตประหวัดไปว่า รสชาติอาหารเป็นอย่างนี้ อร่อย เผ็ด เค็ม หวาน จิตต้องพิจารณาว่า มันไม่เที่ยง เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นกัน
ระหว่างขยับขากรรไกรขึ้นลง จิตต้องพิจารณาการเคลื่อนไหวของขากรรไกรไปด้วย อาจขยับพุท ขยับโธ ตลอดต่อเนื่องกันไป ลิ้นกวาดอาหารลงคอ และลูกกระเดือกขยับขึ้นลงก็ต้องพิจารณาพุทเช่นเดียวกันติดตามไปเสมอ ๆ หากจะให้ดีมากกว่านี้ต้องพิจารณาดูอาหารหลังจากเคี้ยวแล้วไหลลื่นผ่านลงไปในลำคอตกไปที่กระเพาะอาหาร ลำไส้และแผ่ซ่านไปตามเส้นเลือดทั่วร่างกาย จะรู้สึกว่าอาหารที่บดแล้วในปากก็ไม่น่ากินเท่าไร ดูเละๆ ภาษาอิสานว่า คือฮากหมา หรือเหมือนอ้วกหมา ถ้าให้เจ้าตัวบ้วนออกมาแล้วให้ทานกลับเข้าปากไปใหม่ คิดว่าคงไม่มีใครชอบ อย่างนี้หรือเปล่าหนอที่เรียกว่า ปฏิกูลบำรุงปฏิกูล เพราะร่างกายก็เป็นอสุภะปฏิกูลเหมือนกัน ความอร่อยรสชาติอาหารก็เป็นปฏิกูลน่าขยะแขยง ไม่เที่ยงแท้เช่นกัน
สรุปว่าอาหารคำเดียวเกิดการภาวนาพิจารณาวงรอบของสติให้เป็นมหาสติ เริ่มตั้งแต่ตาเห็นรูปอาหารก็ให้มีสติพิจารณาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ลิ้นรับรสก็ให้มีสติพิจารณาในรสว่า รสก็ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จมูกได้กลิ่นอาหาร ก็ให้มีสติพิจารณาว่า กลิ่นก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มือขยับเอื้อมจับอาหาร ขยับยื่นเข้าปาก ขากรรไกรขยับบดเคี้ยวขึ้นลง ลิ้นกวาดอาหารเข้าปากกลืนลงคอ ก็เป็นกายคยาสติ เมื่อซักครู่นี้ยังไม่ขยับ บัดนี้ขยับแล้ว และหยุดแล้ว การเคลื่อนไหวร่างกายก็ไม่เที่ยง เมื่อมีสติติดตามเป็นการดูการเคลื่อนไหว เป็นสมถะกรรมฐาน หากพิจารณาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เป็นวิปัสสนาญาณ หากตาพอใจรูปอาหารสวย ลิ้นพอใจรสอาหารอร่อย จมูกพอใจกลิ่นอาหารหอมหวน ก็กลายเป็นสุขเวทนา ไม่พอใจก็เป็นทุกข์เวทนา อยู่เฉย ๆกลาง ๆ ก็เป็นอุเบกขาเวทนา สุขเวทนาสร้างความพอใจเป็นสุข ทุกข์เวทนาสร้างความไม่พอใจเป็นทุกข์ เมื่อขาดสติชีวิตก็หมุนสลับเป็นสุขและทุกข์ตลอดเวลา สุขและทุกข์คละเคล้ากันเข้าไปในขณะจิตนั้นหลายทางหลายอย่างหลายประตู เหล่านี้ต้องอาศัยสติอันเป็นมหาสติและปัญญาอันเป็นมหาปัญญามาพิจารณาซึ่งคงเป็นผลส่งมาจากการเดินจงกรมและภาวนาเมื่อคืน
หลังทานอาหารเสร็จแล้ว ชงชามาดื่ม ๒ แก้วและนั่งภาวนาในเก้าอี้อีกจนถึงเวลาเที่ยงตรง ป้าน้อยมาถามเรื่องถาดสแตนเลสว่าเป็นของใครไม่มีเจ้าของมารับ เดินขึ้นไปกุฏิเวลา ๑๒.๐๐ น. ได้เห็นได้ยินกระรอกขาวดำ คู่นั้นหยอกล้อกันดังก้องป่าพร้อมสะบัดพลิ้วพวงหางอวดกันพับ ๆ ๆ ๆ
เวลา ๑๒.๓๐ น.นอนพักผ่อนท่องพุทโธไปเรื่อย ๆ นิมิตว่ามีผู้หญิงกางเกงเสื้อดำโดดไปที่ก้อนหินหน้ากุฏิแล้ววิ่งไปตามถนนลงไปข้างล่างและมีผู้หญิงนุ่งชุดขาวกระชากคอเสื้อตัวเองลงมาให้ดู นิมิตแบบนี้เป็นนิวรธ์ธรรมแบบหนึ่งเรียกว่ากามฉันทะ อย่าหลงให้พิจารณา เป็นรูป เมื่อมีขึ้น ตั้งอยู่ซักครู่หนึ่ง แล้วก็จะหายไปเองอย่าหลงยึดติด ให้พิจารณาให้เป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เสมอ อย่าได้หนีจากหลักนี้ จากนั้นนอนหลับไป
เวลา ๑๓.๕๐ น.ลงไปเก็บของและฟังเทศนาที่กุฏิพระอาจารย์สุธรรม เนื่องจากมีโยมมาจากจังหวัดอุดรธานี มากราบสนทนาฟังธรรม ท่านอธิบายธรรมะว่า
“ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อความศรัทธา ถ้าไม่ศรัทธาต่อการบำเพ็ญภาวนาแล้ว จะแตกเป็นหมู่เหล่า มีพระดูหลวงปู่ฝั้นเห็นท่านจับโน่นฉวยนี่ เลยจับบ้าง แต่ไม่ดูมือของตนว่ามีบาดแผลหรือไม่
ต่อไปวัดป่าจะเหมือนวัดบ้าน แต่อะไรก็ตาม ต้องวัดจุดมุ่งหมายของตนเอง มีสติเตือนตนตลอดเวลา อย่าหลงตนเอง จนเกิดทิฐิมานะ อย่าดื้อรั้นดันทุรัง เราก็ได้แต่วิตกวิจารณ์ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
ต้องมีศรัทธาต่อตนเอง ไม่อย่างงั้นใครจะมาศรัทธาเรา ตัวเราต้องศรัทธาตัวเราได้ ต่อหมู่คณะได้ และหากศรัทธาต่อตนเองไม่ได้ ใครจะมาศรัทธาต่อเรา ผู้มุ่งมั่นศรัทธาแสวงธรรมไม่มีเสื่อม
การบวชทุกวันนี้ต่างจากรุ่นอาตมา ต้องบวชเป็นผ้าขาวก่อนไม่รู้ว่าจะได้บวชวันไหน ตีหนึ่ง ตีสอง ยังเรียกมาท่องให้ฟัง ทุกวันนี้หากบวชเหมือนเมื่อก่อนคงไม่มีใครบวชแน่ ๆ เพราะอย่างน้อยต้องท่อง นวโกวาทให้ได้ก่อน การสวดมนต์ก็ยังไม่พร้อมกัน พระบวชใหม่จะมีความเพียรขนาดไหน ต้องเหนื่อยกับมัน ตี ๔ ต้องลุกมาไหว้พระสวดมนต์ภาวนา ยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่ออรรถเพื่อธรรมของเขา ต้องพาไหว้พระภาวนา ธรรมะไม่ทำให้ใครเสื่อมเสียตกต่ำ มีแต่จะชูขึ้น จึงขอให้ทุกท่านมีความพากเพียรในศีลธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่เป็นนิจ”
หลังจากฟังธรรมะจากท่านพระอาจารย์สุธรรมแล้วได้เดินทางกลับมาทำธุระที่วิทยาลัยและกลับไปเตรียมตัวที่บ้านบ้านรุ่งพัฒนา
เวลา ๒๑.๐๐ น. มาถึงวัดป่าหนองไผ่เก็บของไว้ที่กุฏิต้มน้ำร้อนเพื่อชงชากาแฟ
เวลา ๒๒.๓๐ น.ลงไปเดินจงกรม นั่งสมาธิที่ข้างกองไฟ จนถึงเวลา ๒๓.๔๕ น.จึงได้ขึ้นไปนอนพักผ่อน

11.วันที่หนึ่งแห่งการปฏิบัติธรรม วันจันทร์ ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ เมตตาโอวาทธรรม

วันจันทร์ ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ เวลาหกโมงเย็น เมื่อเดินทางไปถึงเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม คูบาเอกพาทำวัตรเย็นและนั่งกรรมฐานประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง จากนั้นคูบาสอนได้พาไปพบหลวงพ่อพระอาจารย์สุธรรมที่กุฏิสองชั้นเมื่อเวลา ๑ ทุ่ม ๒๐ นาที สำนวนพระของคูบาสอนว่า
“คูจารย์ครับ ขอโอกาส อาจารย์วรวิทย์มาแล้วครับ” “หือมาแล้วหรือ”



รูปที่ ๑๘ พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม ท่านอนุพงษ์ โพร้งประภา (เสื้อขาว) และผู้เขียนเสื้อดำ
ท่านพระอาจารย์สุธรรมเปิดประตูกุฏิออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เดินมานั่งที่เก้าอี้ในกุฏิ แล้วให้โอวาทธรรมและกำลังใจ ก่อนไปปฏิบัติว่า
“การดำเนินชีวิตของคนเราทุกวันนี้มีแต่เรื่องสับสนวุ่นวาย เราจึงต้องหาความสงบ การหาความสงบจากภายนอกจากธรรมชาติ จึงจะน้อมนำให้เกิดความสงบภายในจิต เกิดความหนักแน่นในจิตด้วยการกำหนดลมหายใจหรืออาณาปานนุสติ ให้ความสงบภายนอกเสริมความสงบภายในด้วยการมาอยู่ป่าอยู่เขานี้แหละ ขอให้เดินจงกรมให้มาก อย่าให้จิตคิดมาก อย่าให้ความสนใจกับเรื่องราวจากอดีต หรืออนาคต ให้คำนึงถึงปัจจุบันคือลมหายใจ อย่าสนใจคิดถึงดิน ฟ้า อากาศ บุคคล ให้สนใจในงานคือ พุทโธ คือจิตผู้รู้ระวังกับอัตตาตัวตนผู้รู้ อย่าให้แยกจากกัน แต่ถ้าหากแยกจากกันก็อย่ากังวล อย่ารัก อย่าชอบ อย่าชัง ให้มีพุทโธ ๆ ๆ ๆ ๆตลอดไป แล้วอารมณ์ในเรื่องราวต่าง ๆ จะหมดอิทธิพลหรือจืดจางไป ให้มีสติกับอารมณ์ในลมหายใจให้มาก ให้จิตค่อย ๆ ละเอียดผ่องใส อารมณ์ต่าง ๆ ให้จืดจาง จิตก็จะผ่องใส เหมือนเมฆหมอกจางจากใจ พระอาทิตย์ พระจันทร์สว่างเช่นใด จิตก็ให้สว่างผ่องใสเช่นนั้น เมื่อจิตผ่องใสแล้วความคิดจะแยบคาย ความคิดนี้คือปัญญา คือสัมมาทิฐิและเป็นความเห็นชอบขึ้นมาได้ จิตที่ไม่มีสัมมาทิฐิจึงยึดมั่นถือมั่น หลงความเกิดดับ เพราะเราเห็นผิด ชอบผิด
จิตที่ที่มีสัมมาจะคิดแยบคายและปล่อยวาง พร้อมกับสร้างความสงบภายใน จะเห็นศาสนาในจิต เห็นศีล สมาธิ ปัญญา ในจิต ไม่ใช่ในสมาธิ ศาสนานั้นอยู่ที่จิต อยู่ที่ตัวเรา ทุกคน ไม่ได้อยู่ในพระหรือเณร จำไว้ว่า เมื่อขึ้นเวทีแล้วอย่าไหว้ครูนานให้ชกเลย อย่ามัวแต่คอย เพราะกิเลสยังไม่คอยเรา ให้พุทโธ ๆ ๆ อยู่กับ ลมหายใจ อยู่ในห้องน้ำก็พุทโธ ไม่ต้องตั้งท่า ขอให้มีสติ มีสติแล้วนั่นแหละคือการภาวนา ทำได้ทุกท่า ให้มีสติตามรักษา ปัญญาตามสอน
อาตมาจึงขออนุโมทนากับอาจารย์วรวิทย์อย่างมาก เพราะสิ่งเหล่านี้คนเราไม่ชอบรักษา คนที่จะชอบความสงบนั้นหาได้น้อย แต่เมื่ออาจารย์มาแล้วก็ขออนุโมทนา คนที่อยู่กับความโลภ ความโกรธ ความหลง กลิ่นรส ยุ่งเหยิง ศาสนาไม่พึงปรารถนา การอยู่กับสังคมแบบนี้ต้องวุ่นวาย จึงควรมาหาความสงบทั้งทางโลกและธรรม ถ้าเรามาหาความสงบทางจิต เราจะมีหลักเกณฑ์ของชีวิต”
เมื่อท่านพระอาจารย์สุธรรมได้กรุณาอธิบายโอวาทธรรมให้ฟังเป็นเบื้องต้นแล้ว ได้กราบเรียนท่านในเรื่อง กองทุนสงฆ์อาพาธสกลนคร ที่ได้เปิดบัญชีร่วมกับนายแพทย์ศิริโรจน์ กิตติสารพงษ์ ไว้สำหรับรักษาพระสงฆ์ที่อาพาธมารักษาตัวที่สกลนคร ท่านจึงกรุณาเล่าให้ฟังว่า
“กองทุนสงฆ์อาพาธนั้นท่านได้ริเริ่มทำไว้ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น ถ้าหากพระสงฆ์เจ็บป่วยหนักให้ไปรับการรักษาฟรีได้เลย (ติดต่อเบื้องต้นที่มูลนิธิหออภิบาลพระสงฆ์ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หมายเลขโทร ๐๔๓ – ๓๖๖๓๒๓ ) เพราะมีกองทุนอยู่แล้ว 40 – 50 ล้านบาท สำหรับกองทุนสงฆ์อาพาธสกลนครนี้ ท่านขออนุโมทนาและขอสมทบปัจจัยจำนวน ๕๐๐๐ บาท เห็นว่าเป็นโครงการที่ดี เมื่อพระสงฆ์อาพาธในเบื้องต้น ให้ใช้กองทุนนี้ ให้ทำหนังสือมาให้ท่านเซ็นเป็นหลักฐานไว้ และท่านยินดีให้นำชื่อท่านออกอากาศรายการวิทยุ วันอาทิตย์ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดสกลนคร คลื่น 91.25 เมกกะเฮริต รายการเวทีอาสาเพื่อประชาชน วันอาทิตย์ เวลา 3 ทุ่ม ถึง 6 ทุ่ม ท่านพร้อมจะเป็นที่ปรึกษาและให้นำรายละเอียดมาให้ท่านดูด้วย พร้อมนี้ท่านยังให้โอวาทและกำลังใจว่า
“พระสงฆ์ที่ท่านยังไม่มีบารมีมาก เนื่องจากยังเป็นข้าวเปลือกอยู่ หากญาติโยมช่วยกันดูแลอุปถัมภ์ท่านดี ท่านก็จะมีความพากเพียรพยายาม ต่อไปภายหน้า ท่านก็จะทรงธรรมปัญญา ข้าวเปลือกก็จะกลายเป็นข้าวสาร และเป็นข้าวสุกในที่สุด”
การเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อมีหลักธรรม หลักใจแล้ว จิตใจจะสงบ โรคทางกายก็จะสงบตามด้วย การปฏิบัติธรรมจึงเป็นการสร้างใจไม่ให้ป่วย ถึงแม้ร่างกายป่วย จิตใจก็ไม่ป่วยตาม จึงให้รักษาธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อผ่อนคลายร่างกายลงไปให้มาก การปฏิบัติธรรมรักษาโรคทางกายให้หายได้ แต่ผู้เจ็บป่วยต้องให้ความสำคัญของใจด้วย การรักษาใจด้วยธรรม ปฏิบัติธรรม จิตจะไม่เอนเอียงไปกับการป่วยทางกาย และทำให้เกิดพลังให้การป่วยทางกายลดลง
แม้จนถึงที่สุดแล้ว ร่างกายป่วยจนแตกดับ แต่ไม่ฉุดจิตใจให้แปรปรวน แต่หากเราไม่มีธรรมะ การป่วยทางกายจะทำให้ใจป่วยด้วย การเจ็บป่วยจึงต้องมีหลักใจ หลักใจจะเกิดได้ด้วยการปฏิบัติธรรม และจะรักษาให้กายหายป่วย ใจหายป่วย ถ้าร่างกายหายป่วยจิตใจก็ดี หากร่างกายป่วยจนสลายแตกดับ เกิดการพ่ายแพ้ทางร่างกาย แต่จิตใจไม่พ่ายแพ้ ใจที่ไม่พ่ายแพ้ คือใจที่มีหลัก แต่ถ้าใจไม่มีหลักเท่ากับร่างกายแพ้และจิตใจก็พ่ายแพ้ เมื่อสิ้นชีวิตไปก็จากไปด้วยความยุ่งยากยุ่งเหยิง”
ท่านได้บอกให้ คูบาสอน เตรียมหาผ้าห่ม เสื่อ น้ำดื่ม เทียนไข ไฟฉายและไม้ขีด พาไปพักที่กุฏิหลังที่ ๓ ซึ่งไม่มีไฟฟ้าใช้ มีแต่ห้องน้ำสะอาด หลังจากปูเสื่อจุดเทียนไขให้แสงสว่างแล้ว ไหว้พระสวดมนต์ บอกป่าวให้เทวดาได้ทราบว่าข้าพเจ้าไม่ได้มาล่วงเกินแต่มาปฏิบัติธรรม อย่าตื่นอย่าทักท้วงเด้อ ได้เริ่มลงต้นปฏิบัติตามคำที่ท่านพระอาจารย์สุธรรมสอนว่า อย่ามัวแต่ไหว้ครู เวลา ๒๑.๐๐ น. ถึง ๒๒.๔๕ น. เดินจงกรม แล้วนอนพักหลับไปในกุฏิอากาศหนาวมากประมาณ ๑๓ องศา

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

10.ประวัติและปฎิปทาพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม จากคำบอกเล่าขององค์ท่าน

ประวัติและปฎิปทาพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
จากคำบอกเล่าขององค์ท่าน ณ กุฏิพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
วัดป่าหนองไผ่ ต.ดงมะไฟ อ.เมือง จ.สกลนคร



          วันเสาร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ เวลา ๑๓.๔๕น. ผู้เขียนได้เดินทางมาถึงวัดป่าหนองไผ่ ต.ดงมะไฟ อ.เมือง จ.สกลนคร เพื่อขอเมตตาอนุญาตกราบเรียนสัมภาษณ์ประวัติพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม เจ้าอาวาสวัดป่าหนองไผ่ เพื่อประกอบหนังสือเจ็ดธรรมราตรี ท่านพระอาจารย์ได้เมตตาเล่าเรื่องราวจากอดีตมากมายหลายเรื่อง ได้ขออนุญาตบันทึกเทปเสียงท่านไว้ ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวประวัติจากการบอกเล่าของท่านพระอาจารย์ ดังต่อไปนี้


อ.วรวิทย์
          กราบนมัสการครับพระอาจารย์ ตอนแรกว่าจะพิมพ์หนังสือเจ็ดธรรมราตรี หลังจากได้สนทนากับพระอาจารย์ในเรื่องปาฏิหาริย์ที่เขียนไว้ และเมื่อกลับไปอ่านอีกครั้ง ประกอบกับได้ฟังซีดีหลวงปู่เทสก์ที่เปิดไว้ตลอดทุกคืน ก็ได้ทราบเหมือนกับที่พระอาจารย์กล่าวไว้เลยครับว่า ปาฏิหาริย์เหล่านี้อย่าไปยึดมัน เพราะจิตคนชอบที่จะออกไปโลดโผน ไอ้ที่เป็นของดีอยู่สงบกับไม่ชอบ คนไปติดอยู่กับตรงนั้น ก็ต้องมีวิธีตัด เพราะฉะนั้นในหนังสือนี้มีเรื่องปาฏิหาริย์ก็ต้องเพิ่มข้อมูลว่าจะแก้ไขเมื่อเจอภาพนิมิตเหล่านี้อย่างไร คือ ให้มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีสติ อันนี้เป็นเรื่องที่หนึ่งในหนังสือ

พระอาจารย์สุธรรม
          เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเฉพาะคนเฉพาะจิตของบุคคลผู้นั้น มันเป็นนิสัยวาสนาของคนต่างกัน ถ้าหากเราไม่มีนิสัยวาสนา เมื่อเราได้ยินเขาว่า เขาเห็นอย่างนี้อย่างนั้น แล้วเราอยากเป็นอยากรู้อยากเห็นอะไรต่ออะไร

         ดังนั้นพอเราอยากแล้วจิตเราไปปรุงแต่งโดยไม่รู้ตัว มันเป็นสังขารปรุงออกไป พอปรุงมากเป็นรูปเป็นภาพเป็นอะไรออกไป ผลที่สุดเราไปติดไปตาม ไปหลอกตัวเอง หลอกตัวเองไป ๆ มา ๆ เลยทำให้กรรมฐานเสีย หรือบางคนที่มีปรากฏขึ้นมาด้วยนิสัยของตัวเองก็ตาม แต่ตัวเองยังไม่มีพื้นฐาน ตัวเองไปติดไปชอบ ไปติดไปยึดมันเข้าไปโดยไม่มีขอบไม่มีเขต ผลที่สุดเลยหลอกตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าเกิดภาพนิมิตขึ้นก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน เราอย่าไปยุ่งกับมัน อย่าไปสนใจมัน
        
        จุดมุ่งหมายของเราเพื่ออะไร เพื่อจะทำความสงบ เช่นว่าเรายกธรรมะบทนี้ขึ้นมากำกับจิต จุดมุ่งหมายคือความสงบ เราก็มุ่งที่ความสงบจริง ๆ เรื่องอื่นนอกจากนี้เราจะไม่ให้ความสำคัญมันทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อมันปรากฏขึ้นมา มันก็หมดไปหมดไป เช่นเราเปรียบเทียบง่าย ๆ ว่า เราอยู่ที่วัดป่าหนองไผ่เนี่ยนะ จุดมุ่งหมายเราจะไปสกลนคร สิ่งที่จะพาเราไปถึงสกลนครได้ คือ รถ เราก็ขึ้นไปนั่งในรถ รถคันนี้จะพาเราไปถึงสกลนคร จุดสำคัญคือเราต้องเข้าใจว่าจุดมุ่งหมายของเราคือสกลนคร แล้วสิ่งที่จะพาเราไปถึงสกลนครได้คือรถ

         เพราะฉะนั้นเราจะต้องให้ความสำคัญสองอย่างนี้ไว้ ไม่ให้อย่างอื่นมีความสำคัญยิ่งกว่าสองอย่างนี้ หนึ่งเราจะต้องจับรถไว้ให้แน่น สองเราอย่าไขว้เขวในเรื่องจุดมุ่งหมาย พอขึ้นรถปุ๊บ บางคนพอนั่งรถไปอาจจะเห็นคนฟ้อนรำอยู่ข้างทางก็ได้ ถ้าเห็นคนฟ้อนรำสวย ก็โดดลงจากรถ ไปฟ้อนรำกับเขา ลงจากรถไปแล้ว ไม่ติดรถแล้ว ไม่มีรถอยู่ในตัวแล้ว ไปฟ้อนรำหลงป่าหลงทิศ ไม่ถึงสกลนคร หรือบางคนอาจจะเห็นรถชนกัน หรืออะไรต่าง ๆ อาจไปสนใจไปติดตาม จุดมุ่งหมายเลยไม่ถึงกัน

          หลักสำคัญเราจะเห็นหรือเราไม่เห็นก็ตาม บางคนอาจจะเห็นหลายอย่าง บางคนขึ้นแล้วก็หลับเลย แต่มันไม่ทิ้งรถ มันก็ถึงสกลนคร บางคนอาจจะเห็นโน่นเห็นนี่แต่มันไม่ติดตาม เห็นก็สักแต่ว่าเห็น มันก็จับรถไว้แน่น มันก็ผ่านไปในความรู้สึก ผ่านไปในความเห็น ผ่านไป ๆ จุดมุ่งหมายก็เลยถึงสกลนคร พอถึงสกลนคร คนไม่เห็นอะไรเลยคือหลับตลอด เหมือนคนภาวนาแล้วเงียบนิ่งไปถึงความสงบ ไม่มีนิมิตไม่มีความรู้ไม่มีอะไรเลย แต่ก็ถึงความสงบ บางคนจิตโลดโผนอาจจะเห็นปรากฏอย่างโน้นปรากฏอย่างนี้แต่ไม่ได้ติดตาม ก็ถึงความสงบได้ ถ้าคนติดตามไปหลงทิศหลงแดนไปไม่ถึงฝั่ง เราต้องเข้าใจจุดมุ่งหมาย

        ดังนั้นคนที่มีนิสัยวาสนาในทางนี้มากกว่า เขาก็มีอุปกรณ์ในการสอนในการเผยแผ่หรือในการพูด ดังเช่นครูบาอาจารย์ที่ท่านมีจิตอภินิหารมาก พอท่านไปถึงจุดมุ่งหมายท่านแล้ว ท่านก็ได้ความอภินิหารของท่านมาเป็นอุปกรณ์ในการเผยแผ่ธรรมะ มันก็ได้มากยิ่งขึ้นหรือได้สะดวก ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น หลวงปู่มั่น ท่านมีวาระจิตพวกนี้เยอะ เพราะฉะนั้นท่านมาอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ ท่านก็อาจจะแสดงพวกนี้ออกมาเพื่อให้ลูกศิษย์ยอมรับ พอศิษย์ไปสัมผัสแล้วยอมรับ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วท่านจะชี้บอกอย่างไร ๆ ก็ได้หมดทุกอย่าง

         แต่บางคนท่านก็แสดงธรรมนิ่ง ๆ เงียบ ๆ แต่การแสดงธรรมของท่านก็ทำเพื่อความหลุดพ้น มันสำคัญตรงนี้ ถ้าเราไม่มีไม่รู้ไม่เห็นก็เหมือนกับเราหลับไปจะเป็นอะไรในเมื่อจุดมุ่งหมายของเราอยู่ตรงนั้น เราไม่ได้จะมาภาวนาเพื่อจะได้เห็นไอ้นั่นเห็นไอ้นี่ ถ้าเราอยากเห็นก็ไปเที่ยวหาเที่ยวมองซี จะไปหลับตาทำไม ตอนนี้เราจะปฏิเสธถึงคนที่เขารู้เขาเห็นก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะเขามีจริตวิสัยอย่างนั้น ไม่ใช่เราไม่รู้ไม่เห็นแล้วเราจะไปปฏิเสธทุกคนทุกอย่างก็ไม่ได้ คนเห็นมันมี แต่ถ้าคนอื่นเห็นแล้วเราอยากเห็นเหมือนเขาไม่ได้ เพราะมันเป็นของใครของมัน

อ.วรวิทย์
          อันนี้แหละครับคือเรื่องที่หนึ่ง เรื่องที่สอง คือท่านอนุพงษ์ท่านท้วงว่า อยู่ที่ไหนวัดป่าหนองไผ่ ถ้าคนสกลนครก็อาจจะรู้ ไม่มีปัญหา แต่ถ้าหนังสือไปเผยแผ่ที่อื่นเขาก็จะสงสัยว่าวัดป่าหนองไผ่อยู่ที่ไหน วันนี้(๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒)ก็เลยมาถ่ายรูปและบรรยายเส้นทาง ตั้งแต่ประตูเมืองศาลากลาง จับเข็มไมล์มาจนถึงประตูวัด ก็ประมาณ ๒๒.๒๐ กม.พอดี และก็จะถ่ายภาพบรรยากาศของบริเวณวัดด้วย ในหนังสือได้เขียนถึงถ้ำของหลวงปู่ฝั้น ก็จะถ่ายภาพประกอบด้วย

พระอาจารย์สุธรรม
ถ้ำนั้นในหนังสือประวัติหลวงปู่หล้าที่ท่านเขียนไว้เรียกว่า ถ้ำบ้านไผ่ เมื่อท่านเดินธุดงค์มา ท่านลาหลวงปู่มั่นมาเที่ยววิเวกธุดงค์ แล้วก็เดินมาเรื่อยมาได้ยินข่าวว่า หลวงปู่ฝั้นท่านอยู่ที่ถ้ำบ้านไผ่ ท่านเลยขึ้นมาหาหลวงปู่ฝั้นที่นี่ มาภาวนาอยู่ที่ถ้ำบ้านไผ่ หลังจากนั้นท่านก็ไปถ้ำผาแด่น

อ.วรวิทย์
ทางเข้าถ้ำผาแด่นก็ถ่ายรูปไว้แล้ว ได้ทราบแม่ชีแก้วก็มาที่นี่ใช่ไหมครับ

พระอาจารย์สุธรรม
ไม่ใช่นะ แม่ชีแก้วอยู่ที่ถ้ำภูเก้า ถ้ำภูเก้าก็เป็นหน้าผาคล้ายถ้ำผาแด่นนี่แหละ แต่ผาแด่นตั้งตรงกว่า ภูเก้าได้สร้างศาลาโดยใช้หน้าผาหินเป็นหลังคาได้เลย
ถ้ำผาแด่น ตั้งแต่ท่านอาจารย์อุ่นเป็นสามเณรไปอยู่ ท่านอาจารย์ใหญ่สิงห์ทองไปอยู่ สมัยนั้นเป็นป่า ไม่มีใครกล้าลงมาปลดทุกข์ กลัวเสือ เสือมันหมดไปเพราะฟอลิดอลหรือหัวกะโหลกไขว้ ชาวบ้านใส่ฟอลิดอลในถุงพลาสติกแล้วยัดไปในก้อนเนื้อ ไปโปรยไว้ เสือก็กินเนื้อพร้อมถุงฟอลิดอล เสือจึงค่อย ๆ หมดไป เพราะมันชอบมาขโมยวัวควายของชาวบ้าน

อ.วรวิทย์ อยู่ที่นี่เคยมีเสือไหมครับ ตามประวัติ
พระอาจารย์สุธรรม
ก็ถ้ำหลวงปู่ฝั้นนี่งัย หลวงปู่ฝั้นมาภาวนา เสือมันนอนอยู่ข้างบน ชาวบ้านคิดว่าท่านตากผ้าเหลืองไว้ พอมองไปที่ไหนได้ หางเสือโผล่มา

อ.วรวิทย์
ในอินเตอร์เน็ตมีประวัติของพระอาจารย์ แต่ผมเป็นคนไม่ชอบ Copy ประวัติแบบนั้นมาลง ก็เลยมาเรียนรบกวนถามประวัติท่านพระอาจารย์สักเล็กน้อยนะครับ

พระอาจารย์สุธรรม ไม่เป็นไร

อ.วรวิทย์ พระอาจารย์เป็นคนจังหวัดระยองใช่ไหมครับ

พระอาจารย์สุธรรม
ใช่ อยู่อำเภอเมืองระยอง ไปทางปากน้ำ อาตมามีพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน ๑๔ คน พ่อแม่เป็นคนจีน
          โยมพ่อเป็นคนจีนมาจากเมืองซัวเถา แซ่จึง ชื่อ จึงเหี่ยงเค้ง ชื่อตามทะเบียนบ้านว่า นายบุญเลี้ยง แซ่จึง เหตุที่มาเมืองไทย เนื่องจากความยากจน ทำนา และโยมพ่อเป็นลูกคนเดียว เมื่อโยมพ่อเกิดได้ประมาณ ๗ วัน ปู่ก็มาเมืองไทย โยมพ่ออายุได้ ๗ ปี ปู่ก็เสีย โยมย่าจากซัวเถาจึงเดินทางมาอยู่เมืองไทย เพราะญาติพี่น้องของโยมย่ามาอยู่เมืองไทยก่อนแล้ว ญาติฝ่ายโยมย่า เช่น น้องชายของโยมย่า ที่โยมย่าเลี้ยงมา เพราะแม่ตายตั้งแต่เด็ก พอเป็นหนุ่มก็มาเมืองไทย มาตั้งร้านถ่ายรูป ทำฟัน เพราะอยู่เมืองจีนท่านเป็นหมอฟัน ร้านถ่ายรูปอยู่ที่สุพรรณบุรี ชื่อ ฉายาเซี่ยงไฮ้ น้องชายของโยมย่าก็คือปู่ของคุณนิรมล เมธีสุวกุล และคุณกวาง ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของอาตมา โยมย่าเป็นผู้เลี้ยงอาตมาตอนเด็ก ๆ

โยมพ่อโตเป็นหนุ่ม อายุประมาณ ๒๙ ปี จึงเดินทางมาเมืองไทย และโดนญาติทางเมืองไทย ดุโยมพ่อว่า อยู่ทางโน้นดีๆ แล้วมาทำไม จะมาวุ่นวายอะไรที่เมืองไทยอีก มาแล้วก็ต้องมารบกวนคนอื่นเขา (ซึ่งเขาอยากจะให้อยู่ดูแลญาติทางเมืองจีน)
โยมพ่อก็พูดแบบคนจีนว่า ฮวยไหล่ปุกกี้ หรือจะมาโกยเงินโกยทอง
ด้วยนิสัยโยมพ่อซึ่งไม่ต้องการพึ่งญาติพี่น้อง ยืนอยู่ด้วยปลีแข้งตัวเองตลอด โยมพ่อจึงมา ตั้งหลักตั้งฐานด้วยตัวของตัวเอง มาพักกับญาติ ๆ ของโยมย่าที่สุพรรณบุรีได้ไม่นาน ก็ย้ายมาอยู่ที่ หัวลำโพงกับหมู่เพื่อนที่มาจากเมืองจีนด้วยกัน รับจ้างทำงานหาเงินหาทองที่หัวลำโพง แต่ไม่คล่องแคล่ว เพราะโยมพ่อเป็นคนจีนริมทะเลอยู่แล้ว จึงไปอยู่ที่จังหวัดระยอง ไปลุยงานตั้งหลักตั้งฐานที่ระยอง

โยมแม่ ชื่อ จิวป่อเซี้ยม แซ่จิว เป็นคนจีนที่เกิดในประเทศไทย โยมตาเป็นลูกครึ่งจีนแล้ว อยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกับโยมย่า ญาติผู้ใหญ่เห็นชอบ โดยฝ่ายหญิงฝ่ายชายไม่รู้จักกัน ไปแต่งงานกันที่ระยอง

อาชีพที่จังหวัดระยอง ตอนแรกซื้อเรือเล็ก ๒ ลำ ใช้ถ่อ เพื่อรับจ้างบรรทุกของจากเรือใหญ่มาเข้าฝั่ง แต่ก่อนเรือสินค้าจะเทียบท่าที่ระยอง

ต่อมาทำเรือประมง ตั้งแต่ทำโป๊ะ ทำอวนลาก อวนดำ พอมารุ่นลูก ๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงอาชีพอาชีพทางทะเลเลิกทำหมด มาค้าของเก่า ตั้งบริษัทชื่อ จึงเหี่ยงเค้ง รุ่งเรือง จำกัด พี่น้องก็แยกกันออกไปคุมงานหลายร้าน

พี่น้อง ๑๔ คน อาตมาจำได้หมด จำชื่อเล่น
พี่สาวคนโต ชื่อ เฉง คนที่ ๒ คือ อาตมา ชื่อ สุธรรม รองลงมาชื่อ เกี๋ยง เลียง บ๊วย จุ่ย เสง เล็ง อา เล็ก เพียว หมวย ล้าน และ อ้อ

การดูแลครอบครัว
         เดิมทีทำอาชีพทางทะเล เมื่อเรือสินค้าหรือเรือประมงเข้ามา ทุกคนในบ้านจะออกไปช่วยกันทำ และเมื่อทำโป๊ะ มีเรือประมง ๔ ลำ มีลูกจ้างอีกประมาณ ๕๐-๖๐ คน เรื่องอาหารการกินในบ้าน โยมแม่จะเป็นหลัก ทำอาหารเลี้ยงคนในบ้านและคนงาน โยมแม่ทำคนเดียว ไม่ยอมให้มีลูกจ้าง พอพี่สาวโตก็ไปช่วยแม่ทำงานครัว เมื่อลูกผู้หญิงโตพอทำงานครัวได้ก็จะไปช่วยงานครัว ดังนั้นลูกสาวบ้านนี้ไม่มีคนไหนทำครัวไม่เป็น พอยุคหลังที่ไม่ต้องทำกับข้าวเลี้ยงคนงาน ถ้าน้อง ๆ ไปซื้ออาหารถุง อาหารนอกบ้านมา โยมพ่อจะด่า จะโกรธ ต้องให้ทำอาหารกินเอง

        การกินข้าวต้องกินพร้อมกันทุกวันในมื้อเย็น เพราะการกินข้าวร่วมกัน ได้คุย ได้สนิทสนมใกล้ชิดกัน เวลาอื่น ๆ บางคนก็ติดธุระ บางคนไม่สะดวก แต่เวลากินข้าวจะสะดวกคุยกันตลอด เพราะอยู่พร้อมหน้ากัน กินกันหยอกล้อกันไป เป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดกัน โต๊ะอาหารที่บ้านใครมาเห็นจะตกใจ เป็นไม้มะค่าหนา โต๊ะกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ เมตร เก้าอี้ล้อมสิบกว่าตัว

          ทุกวันนี้มีน้องสาวคนหนึ่งที่ไม่ได้แต่งงาน ก็อยู่เป็นหลักในบ้านแทนแม่ ซื้อกับข้าวทำกับข้าว โดยมีน้องสะใภ้ช่วย เวลาไปตลาดแม่ค้าจะเรียกเจ๊ให้ว่อน เพราะเวลาซื้อของจะซื้อเยอะมาก ครอบครัวใหญ่ ทุกเย็นก็จะมากินข้าวพร้อมกันเหมือนเดิม พี่น้องครอบครัวไหนมีของอะไรมาก็จะมาวางไว้ที่บ้านใหญ่ เป็นกองกลาง ไม่เอาไปเป็นส่วนตัว ครอบครัวไหนมาเห็นอยากจะเอาไปกินก็เอาไป

อ.วรวิทย์ โยมพ่อในสายตาของท่านพระอาจารย์เป็นอย่างไรครับ

พระอาจารย์สุธรรม
        โยมพ่อเป็นหลักได้มาก แม้โยมพ่อไม่รู้หนังสือ แต่เวลาทำงานจะทำจริงจัง พูดอะไรออกมาน่าคิดเยอะ เช่น เมื่อโยมพ่อมาอยู่ที่วัดป่าหนองไผ่ โยมจิต(อดีต ผอ.รร.วชิราวุธ) ได้เล่าให้อาตมาฟังว่า โยมพ่อให้คติหลายอย่าง

           บางครั้งเวลาที่ท่านพูด แต่เรายังอยู่ในภาวะที่ยังไม่ยอมรับ ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเวลาผ่านไปแล้ว น่าคิดเหมือนกัน มีหลาย ๆ อย่างที่อาตมาจำมาจากโยมพ่อ เช่น ตอนเป็นวัยรุ่น ทำงานอยู่ที่บ้าน เครื่องยนต์เสีย อาตมาพอรู้บ้างก็ซ่อมเอง บางครั้งอารมณ์มันเสีย มันเหนื่อย มันร้อน ทำให้ประกอบไม่ได้ ก็อัดก็ฝืนเข้าไป โยมพ่อมาเห็น แม้โยมพ่อไม่เป็นเรื่องเครื่องยนต์ ก็ว่า เจ้าอย่าทำตัวเก่งกว่าช่างเขานะ ช่างเขาทำมามันต้องพอดี ถ้าไม่พอดีมันขายไม่ได้ เมื่อเจ้าใส่ไม่พอดี เจ้าผิด ท่านสอนให้เราตรวจตราว่าเราผิดตรงไหน ก็จริงอย่างท่านว่า ถ้าเราจะถอดจะประกอบอะไร ถ้ามันไม่พอดี แสดงว่าเราผิด

             โยมพ่อเป็นคน ประหยัด เก็บหอมรอมริบเก่งมาก จะสอนลูก ๆ ประหยัดด้วย เช่น ยุคที่เราเป็นวัยรุ่น กางเกงเสื้อผ้าจะมีทรงแปลก ๆ เช่น ทรงอพอลโล ทรงจิ้งเหลน ทรงขาบานบ้าง เราเป็นวัยรุ่น ก็อยากใส่บ้าง ทั้ง ๆ ที่ไม่แพงนัก ไปขอเงินโยมพ่อไปซื้อ ท่านไม่ให้ ท่านดุว่า “ท่านไม่เสียดายเงิน แต่เสียดายลูก” ถ้าตามใจลูก เหมือนเพาะนิสัยสุรุ่ยสุร่าย ท่านไม่ได้เป็นเศรษฐี เพราะฉะนั้น ให้ลูกใส่ที่มันทน แม้จะแพงแต่ใส่ได้ทุกงานทุกโอกาส ดีกว่าไปเสียจุกจิกอย่างนั้น ใส่ได้ไม่เท่าไหร่ ก็ทิ้งแล้ว มันสิ้นเปลือง กางเกงที่มีอยู่เป็นกางเกงผ้าเสิร์ท แพงที่สุด แต่มันทน และเข้าได้ทุกสังคม เหมือนลักษณะผู้ดีใส่ สมัยนั้นตัวละประมาณ ๑๒๐ บาท แต่ทรงอื่น ๆ ประมาณ ๔๐-๕๐ บาท ใส่ได้เดี๋ยวเดียวก็ล้าสมัย แต่ทรงกลาง ๆ ผ้าเสิร์ท ใส่ได้ตลอด

         ท่านเป็นคน ขยัน ในถนนเส้นนั้นตลอดเส้น คนระยองร่ำลือกันเลย เรื่องนี้ท่านกินขาดเลยล่ะ
         โยมพ่อเป็นคน คุยสนุก เมื่อออกนอกบ้าน คนทุกคนจะคุยกับโยมพ่อได้หมด ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ จะสนิทสนมมาก แต่เมื่อเข้าบ้านโยมพ่อจะไม่ค่อยตลก ท่านจะเป็นคน เงียบ นิ่ง รักครอบครัว จะไม่ไปกินอะไร หรือเที่ยวเล่นนอกบ้านคนเดียว เช่น ตอนเช้า ถ้าจะไปนั่งร้านกาแฟ จะจูงลูกหลานไปนั่งกินด้วยกัน ไปตลาด ไปเห็นอะไรอยากกิน ก็จะซื้อมากินที่บ้าน เว้นแต่ไปงานกินเลี้ยงที่มีบัตรเชิญจึงไปคนเดียว
เงินที่หามาได้ จะให้โยมแม่เก็บไว้หมด โยมแม่เป็นผู้จัดการดูแลเงินและความเป็นอยู่ของทุกคน เวลาโยมพ่อมีการ์ดงานเลี้ยง เมื่อใกล้เวลา โยมแม่จะจัดเตรียมเสื้อผ้าแขวนไว้ พร้อมเงินใส่กระเป๋าไว้ใส่ซอง  โยมพ่อไม่เคยดูแลเรื่องเงินเลย จะให้โยมแม่ดูแลเรื่องเงิน เมื่อลูก ๆ โตขึ้นจึงปลดให้ลูกดูแลแทน

โยมพ่อจะพูดไทยปนจีน ลูก ๆ จะเข้าใจ แต่คนงานฟังแล้วจะต้องมาถามลูก ๆ อีกที โยมพ่อพูดเสียงดัง โผงผาง บางทีก็ตลก เช่น คนงานทำงานประมงเสร็จแล้ว(งานอื่นๆ จุกจิกก็มี) ก็จะแยกย้ายพักผ่อนเที่ยวเล่นได้ แต่คนงานใหม่ทำงานเสร็จแล้ว มาถามโยมพ่อว่า เถ้าแก่มีงานอะไรให้ทำอีกไหม โยมพ่อก็ว่า ถ้าเอ็งไม่มีงาน ก็เอาเรือไปขนทรายซีวะ ความซื่อของคนงานอิสาน จึงพายเรือออกไปขนทรายที่ริมทะเล เรือมันจมก็ต้องพายเรือไปรับมันกลับมา

อ.วรวิทย์ โยมแม่ล่ะครับ
พระอาจารย์สุธรรม
         เรื่องการว่ากล่าวตักเตือนลูก ๆ โยมพ่อจะให้โยมแม่จัดการ บางครั้งโยมพ่อไปได้ข่าวว่าลูกไปดื้อหรือเกเรอยู่นอกบ้าน โยมพ่อไม่ดุลูก แต่กลับมาว่าโยมแม่ว่า ทำไมลูกตัวจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมไม่ดุว่ามัน แม้การดุด่าว่ากล่าวตักเตือนจะเป็นหน้าที่ของโยมแม่ บางทีโยมแม่ก็โมโหเหมือนกันเถียงโยมพ่อว่า ลูกตัวเหมือนกันนี่ ทำไมตัวไม่ดุว่ามันบ้างล่ะ
          ตั้งแต่เล็กจนกระทั่งโต จนกระทั่งตายจากกัน ลูก ๆ ไม่เคยเห็นโยมพ่อกับโยมแม่ปีนเกลียวกันเลย ถ้าโยมพ่อเสียงดัง โยมแม่จะเงียบ ถ้าโยมแม่เสียงดัง โยมพ่อจะเงียบหรือเดินออกนอกบ้านไป



รูปที่ ๑๖ งานศพโยมพ่อ

           โยมแม่จะดูแลทุกอย่างในบ้าน โยมไม่ดุ แต่เป็นคนขี้บ่น เรื่องเดียวพูดยาว ถ้าลูกเถียง ท่านจะหยุดบ่น แต่ถ้าลูกไม่เถียง ท่านก็จะบ่นไปเรื่อย ตีลูกบ้างแต่ไม่รุนแรง เป็นโชคดีที่ลูก ๆ ทั้ง ๑๔ คน ไม่มีใครเสียสักคน ไม่ขี้เหล้าเมายา ไม่เที่ยวเล่น มีแต่มุ่งหน้าในการประกอบกิจการงานอาชีพ ครอบครัวอบอุ่น

อ.วรวิทย์ อะไรเป็นจุดเปลี่ยนมาสู่เพศบรรพชิตของท่านพระอาจารย์ครับ
พระอาจารย์สุธรรม
             จากการได้สนทนากับหมู่เพื่อนที่บวชเป็นพระแล้วกลับมาระยอง อาตมาก็คิดว่า ชีวิตเราอยู่ทางโลกมานานพอสมควรแล้ว (ตอนนั้นอายุประมาณ ๒๐-๒๑ ปี) จะต้องอยู่ทางโลกอีกยาวไกล ทำไมในช่วงเวลาสั้น ๆ เราจะบวชสักหน่อยดูได้ไหม สละเวลามาบวชบ้างไม่ได้หรือ ก็เลยเป็นเหตุให้บวช
           อาตมาสมัยอยู่ที่บ้านเป็นคนทำอะไรตามใจตัวเอง ในบ้านไม่มีใครบังคับได้ เป็นคนเลือกกินอาหารมากเลย ถ้ามองอาหารในบ้าน ไม่พอใจปุ๊บ จะเดินหันหลังออกเลย ไปสั่งอาหารข้างนอกกินดีกว่า พอจะบวชจึงถูกโยมแม่ปรามาสว่า “หน้าอย่างเจ้าจะบวชได้หรือ กินอาหารก็ยังเลือก ไปไหนก็ไปตามใจตัวเอง อยู่วัดไม่สามารถไปไหนตามใจตัวเองได้ กินก็ไม่ได้กินตามใจชอบ”
            การสนทนาพูดคุยทำให้ดูดดื่มกับครูบาอาจารย์นักประพฤติปฏิบัติ ท่านสนทนาด้วยคือ พระครูชินเทศ(ท่านมรณภาพแล้ว) เป็นเพื่อนรุ่นพี่ ท่านบวชแล้วท่านไปอยู่กับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่จังหวัดเชียงใหม่ พอออกพรรษา ท่านกลับมาที่ระยอง ก็ได้ไปสนทนาพูดคุยกับท่าน

                อาตมาออกบวช เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓ ตอนบวชได้นิมนต์พระจากเชียงใหม่ เช่น หลวงปู่หนู และท่านอื่น ๆ มาที่ระยอง ถ้าจะขึ้นไปบวชที่เชียงใหม่ จะทำให้ลำบากญาติโยม

               พระอุปัชฌาย์ คือ พระครูประจักษ์ ตันติยาคม วัดคีรีภาวนาราม อ.บ้านฉาง ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ใหม่ ๆ ก็บวชให้ อาตมาเป็นรูปแรก ท่านจะพูดว่าอาตมาเป็นศิษย์คนแรก พระอนุสาวนาจารย์ ตอนนี้ ท่านเป็นเจ้าคุณชั้นเทพ เป็นชาวระยอง ต.ปากน้ำปะแสร์ ชื่อ พระเทพธรรมาพร (ฉายา ประจวบ นันทปัญโญ) ท่านเจ้าคุณเทพเป็นคนที่กรุงเทพฯ อยู่วัดสัมพันธวงศ์ อีกองค์คือ พระครูประสก สุภาจาโร ชาวระยอง

           อาตมาบวชแล้วก็ขึ้นไปเชียงใหม่ ไปอยู่กับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่วัดดอยแม่ปั๋ง ประมาณ ๒-๓ เดือน แต่ไม่ได้จำพรรษา คิดว่าจะบวชไม่นาน แต่อยู่ ๆ ไปเพลินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าพรรษา ก็กลับมาจำพรรษาที่วัดตรีรัตนาราม จังหวัดระยอง

อ.วรวิทย์ ในทัศนะของพระอาจารย์ หลวงปู่แหวนท่านเป็นอย่างไรครับ
พระอาจารย์สุธรรม
       หลวงปู่แหวนท่านเย็น นิ่ง หาข้อตำหนิของท่านไม่ได้เลย เห็นแต่ความเย็นความนิ่งของท่าน ดังเช่น เวลาฉันภัตราหาร ความสำรวมของท่าน ท่านจับคำอาหารขบฉัน ก้มหน้าอยู่กับสำรับอาหาร หลวงปู่หนูจะคุยตลกขบขันขนาดไหน ท่านไม่แย้มปากเลย ไม่พูดคุยกับใคร ไม่หันซ้ายหันขวา ท่านนิ่งสนิท เหมือนท่านอยู่องค์เดียว จนกระทั่งเสร็จ ท่านจึงเริ่มสนทนาพูดคุย และเวลาท่านสอนพระจะนิ่มนวล เย็น

อ.วรวิทย์ มีธรรมะอะไรที่พระอาจารย์จำคำของหลวงปู่แหวนไว้ครับ
พระอาจารย์สุธรรม
            ถ้าพูดเป็นพื้น ๆ กลาง ๆ ใครไปใครมาก็ว่าหลวงปู่แหวน ท่านไม่มีอะไร  มีแต่ กุสลาทำเมา กุสลาทำเมา กุสลามันทำเมานะ มันไม่เป็นธัมโมธรรมะนะ ท่านจะเน้นอยู่ตรงนี้ บางคนมันฟังไม่เข้าใจ แต่จริง ๆ แล้วท่านพูดมันถูกตามหลักสังคมในยุคนั้นเลย
             กุสลาทำเมา คนเรามันเมากับความดี ความร่ำรวย ความสุข สะดวกสบายของตัวเอง ตัวเองมีฐานะดี มีความสะดวกสบาย เที่ยวเล่นสนุกสนานเพลินไปเรื่อย กุสลาทำเมา มันเมามันเที่ยวเล่นไปเรื่อย เพลิดเพลินไป ไม่มีโอกาสที่จะเข้ามาดูตัวดูใจตัวเอง ไม่มีโอกาสเข้าวัดเข้าวามาหาประพฤติปฏิบัติธรรมเลย นี่แหละเรียกว่า กุสลาทำเมา มันเมาไปกับความสะดวกสบาย เมาไปกับความสนุกสนานเพลิดเพลิน ก็ห่างเหินศีลธรรมไปเรื่อย เหมือนในสังคมที่เราเห็นอยู่ทั่วไปสำหรับคนประเภทที่หนึ่ง

            คนอีกประเภทหนึ่ง คือ อกุสลาทำเมา มันเมากับความทุกข์ยากอับจน จะทำมาหากินอะไร จะเอาอะไรมาใส่ปากใส่ท้องให้ลูกกู กูจะไปหาเงินที่ไหน ไปเอาที่ไหน มันมัวเมากับความทุกข์ยาก ความขาดแคลนของตัวเอง เมาในการแสวงหา เมาในการอับจน เมาในการแก่งแย่งชิงกัน ไม่มีโอกาสที่จะเข้ามาดูใจตัวเอง ไม่มีโอกาสเข้าวัดเข้าวามาหาธรรมะ สังคมมันอยู่แบบนี้

           กุสลาทำเมา กุสลาทำเมานะ มันเมาไปทั้งนั้นเลยนะ มันไม่ไปธัมโมธรรมะเลยนะ คนไม่คิดดูให้ลึกซึ้ง ท่านพูดอย่างนั้นมันถูกต้อง ทำอย่างนั้นมันทำเมานะ ทำอย่างนี้จึงจะธัมโมธรรมะนะ
              แต่ถ้าเวลาอยู่กับพระเราล้วน ๆ เช่น เวลาไปจับเส้นถวายท่านหรืออยู่ส่วนตัว ถ้ามีข้อปฏิบัติไปสนทนากับท่าน ท่านตอบได้ลึกซึ้ง ถ้าเรื่องธรรมะล้วน ๆ นะ แต่ถ้ากับชาวบ้านทั่วไป ท่านก็จะว่า ธัมโมทำเมานะ อตีตาทำเมานะ อนาคตาทำเมานะ ให้เป็นปัจจุบันนะจึงจะธรรมาธรรมะนะ คือถ้าไปคิดไปปลงอยู่แต่อดีตมันก็เมา ถ้าไปเกาะเกี่ยวกับเรื่องอนาคตมันก็เมานะ ต้องให้อยู่กับปัจจุบัน มันจึงจะเป็นธรรมะ คุยง่าย ๆ ของท่าน แต่ความหมายมันกินครอบงำไปเลย
              ผิวพรรณของท่านผ่องใสมาก ตาของท่านใสแจ๋ว ไม่มีขุ่นไม่มีมัวเลย ท่านเย็นเงียบ ๆ นิ่ง ๆ เรียบร้อย ไม่หลงสติ ท่านบอกได้หมดเลยว่า วันไหน เดือนไหน ค่ำไหน ไปธุดงค์อยู่ตรงไหนบ้าง ท่านบอกได้เป๊ะ ๆ แต่ท่านจะบอกเป็นค่ำกับเดือนไทย
อาตมาจะจำพรรษาที่ระยอง พอออกพรรษาก็กลับขึ้นไปเชียงใหม่ วนเวียนอยู่กับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ดอยเชียงดาว ถ้ำผาปล่อง นี่แหละ และธุดงค์อยู่ตรงนั้นตรงนี้บ้าง

อ.วรวิทย์ แล้วโยมพ่อโยมแม่ว่าอย่างไรบ้างที่บวชนาน
พระอาจารย์สุธรรม
             ตอนนั้นไม่ถูกกับทางบ้านเลย และก็ไม่เคยใกล้บ้านเลย เพราะญาติพี่น้องไม่มีใครเห็นด้วยในการบวช เขาต้องการให้บวชสักพักแล้วออกไปทำการค้าทำงานทางบ้าน เพราะอาตมาเป็นพี่ชายคนโตภาระในบ้านงานการในบ้านเราต้องเป็นผู้ดูแลอยู่แล้ว

อ.วรวิทย์ พระอาจารย์เรียนทางโลกจบชั้นไหนครับ
พระอาจารย์สุธรรม จบชั้น ม.ศ.๓ และเรียนภาษาจีน อยู่ ๔-๕ ปี เพื่อทำการค้าขาย

อ.วรวิทย์ บวชแล้วก็ไปอยู่กับหลวงปู่แหวน หลวงปู่สิม
พระอาจารย์สุธรรม ก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างระยองกับเชียงใหม่ พอออกพรรษาก็ไปเชียงใหม่ เข้าพรรษาก็มาจำพรรษาที่ระยอง ๔ ปี ติดต่อกัน เพื่อเรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท จนจบนักธรรมเอก ก็ไม่ได้กลับระยองอีกเลยตั้งแต่ปี ๒๕๑๗

อ.วรวิทย์ พรรษาที่ ๑-๔ (พ.ศ.๒๕๑๓-๒๕๑๖) อยู่ระยอง แล้วพรรษาที่ ๕ อยู่ไหนครับ
พระอาจารย์สุธรรม
            พรรษาที่ ๕ (พ.ศ.๒๕๑๗) ไปอยู่กับ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ดอยเชียงดาว ที่ถ้ำผาปล่อง  สมัยก่อนบันไดทางขึ้น อาตมาก็แบกปูนขึ้นไปเทปูน ก่อนนั้นเป็นดิน หน้าฝน เดินลงไปลื่นล้ม คนไปทาง บาตรไปทาง ไปบิณฑบาตบ้านถ้ำมาใช่จะมีอาหารเหลือเฟือนะ พอบาตรหลุดมือปุ๊บ ต้องได้หมู่เพื่อนเฉลี่ยให้กัน ไม่พอฉันจริง ๆ นะ
            อาหารหลักของพระ คือ มะละกอกับกล้วยสุกในวัด ปีแรก ๆ ที่ไปอยู่ไม่มีใครรู้จักวัด ไม่มีใครมาใส่บาตร มาดังทีหลังหรอก พวกทำพระเครื่องมาโฆษณาเรื่องอภินิหาร แต่อาตมาก็ไม่เห็นว่าจะมีอภินิหารอะไร ขายดิบขายดี คนก็เริ่มมา คนเริ่มพลุกพล่าน ส่วนไฟฟ้ามีใช้เพราะมีหมอบริจาคเครื่องไฟให้

          เหมือนตอนไปอยู่กับหลวงปู่แหวนใหม่ ๆ (ปี พ.ศ.๒๕๑๓) วัน ๆ ไม่ค่อยได้เห็นคนนะ ก็มีแต่เด็กชาวบ้าน ๒-๓ คน ขึ้นมาช่วยกวาดใบไม้ ถ้าไม่ได้ไปบิณฑบาตก็ไม่เห็นคน มาทีหลังคนเริ่มหลั่งไหลเข้าไปก็เพราะทหารอากาศ ไปทำเหรียญรุ่น ๓ ส่วนรุ่น ๑ และรุ่น ๒ หมอ(จำชื่อไม่ได้)ที่กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ทำ รุ่นละ ๕,๐๐๐ เหรียญ รุ่น ๑ และรุ่น ๒ เหมือนกัน ต่างกันที่ตัวหนังสือ รุ่น ๑ ตัวหนังสือแนวตั้ง รุ่น ๒ ตัวหนังสือแนวนอน จำหน่ายเหรียญละ ๑๐-๒๐ บาท เพื่อหาเงินมาสร้างถังน้ำและอื่น ๆ ในวัด แม้ผลิตน้อยใช่ว่าจะจำหน่ายง่าย ๆ อาตมาและเพื่อน ๆ ได้มา ๖-๗ เหรียญ รุ่น ๑ อาตมาได้ ๕ เหรียญ รุ่น ๒ อาตมาได้ ๗ เหรียญ พอเหรียญรุ่นที่ ๓ ทหารอากาศได้โฆษณาว่าหลวงปู่นั่งบนอากาศ นั่งบนเครื่องบิน อะไรต่ออะไรไป ผู้คนจึงหลั่งไหลเข้ามาหาเหรียญกันอึกทึกเลย

              ภายหลังรู้สึกว่าหลวงปู่มีคนมาพบมากขึ้น ๆ ปกติท่านจะเดินจงกรมที่ทางเดินจงกรมหน้ากุฏิเป็นประจำ บางคืนท่านเดินทั้งคืน เมื่อคนคึกคักจึงเดินจงกรมไม่ได้ อาตมาก็ปรึกษากับพระครูชินเทศ พระครูชม และพระครูปัญญา ว่าเราน่าจะทำทางเดินจงกรมให้หลวงปู่แหวนใหม่ แต่ไม่มีเงิน จึงลงขันออกเหรียญที่มีอยู่รุ่น ๑ องค์ละเหรียญ รวม ๔ เหรียญ ให้หมอไปจำหน่ายได้เหรียญละ ๕,๐๐๐ บาท (จากเหรียญละ ๑๐-๒๐ บาท) รวมเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท นำไปซื้อบ้านเก่าไม้สัก รื้อมาทำทางเดินจงกรมให้หลวงปู่แหวนที่ยื่นออกไปตรงด้านข้างฝาผนัง

             ปี ๒๕๑๗ จำพรรษาอยู่ที่ดอยเชียวดาวกับหลวงปู่สิม ตอนนี้เป็นยุคที่คนมันหลั่งไหลขึ้นไปแล้ว เป็นยุคที่คนมากมายก่ายกอง เป็นยุคที่คนตื่นเต้นเรื่องเหรียญกันแล้ว เหมือนตอนที่ไปจำพรรษากับหลวงปู่แหวนใหม่ ๆ เมื่อปี ๒๕๑๓ ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้จักหรอก เงียบสนิท จากตลาดต้นลำไยที่เชียงใหม่ ไปถึงดอยแม่ปั๋งที่เชียงใหม่ ต้องออกแต่เช้ามืด ต้องวานเด็กกระเป๋ารถไปซื้ออาหารเช้าไปฉันระหว่างทาง กว่าจะถึงดอยแม่ปั๋งก็เกือบค่ำ เส้นทางเหมือนโลกพระจันทร์ เป็นหลุมเป็นบ่อ บางครั้งรถติดหล่ม สารพัด ทุรกันดารมาก

             พอปี พ.ศ.๒๕๑๗ ผู้คนคึกคักหลั่งไหลเหมือนมีงานวัดทุกวัน หลวงปู่แหวนท่านว่า เขามาเอาทำเมานะ ไม่มีใครมาเอาธัมโมธรรมะนะ เราอยู่สู้เขาเราก็ตายเปล่านะ ถ้าเขามาเอาธัมโมธรรมะ เราก็ยังสู้เขาได้ ถ้าหลวงปู่ยังมีกำลังมีแรงอยู่ไม่มาเป็นแมลงวันหัวเขียวตอมอยู่อย่างนี้หรอก อาตมาก็มาคิดว่า เราไปเพื่อมุ่งหน้าในการปฏิบัติจริง ๆ ทางภาคเหนือจึงไม่เหมาะ เพราะภาคเหนือคนเที่ยวไม่เหมาะไม่ส่งเสริมในการทำความเพียรได้ ก็เลยมุ่งหน้ามาภาคอิสาน แต่ภาคอิสานเคยขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๓ แล้ว มาดู ๆ ผ่าน ๆ ไป
           
           พอปี พ.ศ.๒๕๑๘ พรรษาที่ ๖ ก็มุ่งหน้ามาหาหลวงปู่ฝั้น อาจาโร พอใกล้เข้าพรรษา หลวงปู่ลงมาอยู่ที่วัดล่าง(วัดป่าอุดมสมพร ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร) อาตมาจะตามมาที่วัดป่าอุดมสมพร แต่มีคนมากพระมาก จึงจำพรรษาที่ ถ้ำขาม อยู่กับหลวงปู่เขี้ยม พอออกพรรษาสักระยะ ก็ออกธุดงค์เที่ยววิเวกและได้ไปจำพรรษาอยู่กับ ท่านอาจารย์ใหญ่สิงห์ทอง ธมฺมวโร วัดป่าแก้วชุมพล ที่อำเภอสว่างแดนดิน ๓ พรรษา พรรษาที่ ๗-๘-๙ ปี พ.ศ.๒๕๑๙-๒๕๒๑

                พอปี พ.ศ.๒๕๒๒-๒๕๒๓ พรรษาที่ ๑๐-๑๑ มาจำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี กับหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

อ.วรวิทย์ ๒ พรรษา ที่วัดป่าบ้านตาด ประทับใจหลวงตามหาบัวอย่างไรบ้างครับ
พระอาจารย์สุธรรม
            มากมายก่ายกองพูดไม่จบหรอก การอยู่กับท่านต้องมีความละเอียด มีความรอบคอบ ถ้าเราอยู่กับหลวงตามหาบัวแล้วเอาแบบฉบับของท่านมา ๕๐% นะ เราอยู่ที่ไหนสบายทั่วประเทศไทย ได้แค่ ๕๐% เราจะเป็นแบบอย่างให้กับสังคมให้กับโลกได้เป็นอย่างดี อาตมาถอดแบบท่านมาได้ ๑๐-๒๐% เท่านั้น

อ.วรวิทย์ เพราะเหตุใดทำให้ท่านพระอาจารย์ได้มาอยู่ที่วัดป่าหนองไผ่ครับ
พระอาจารย์สุธรรม
             สืบเนื่องจากพระรุ่นเดียวกับพระอาจารย์ทองฮวดท่านเคยอยู่ที่เชียงใหม่ แล้วท่านมาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด ปี พ.ศ.๒๕๒๒ ท่านได้ออกธุดงค์มาพบสถานที่แห่งนี้ ท่านจึงจำพรรษาอยู่ที่นี่บริเวณป่าช้า และปี พ.ศ.๒๕๒๓ ท่านก็กลับมาจำพรรษาที่นี่อีกที่ถ้ำ พอออกพรรษาท่านและพระรูปอื่นอีกประมาณ ๗ รูป ได้แก่ อาจารย์ทองฮวด อาจารย์ปิ่น ท่านเดช เณรจ่อยและอื่น ๆ ไปเที่ยวธุดงค์มาถึงกิ่งอำเภอดงหลวงซึ่งมีกองทัพพวกสหายตั้งอยู่ จึงถูกกองทัพสหายจับตัวไป ต่อมาได้ปล่อยตัวมา ๕ รูป ยึดไว้ ๒ รูป คือ อาจารย์ทองฮวด และอาจารย์ปิ่น ต่อมาทราบข่าวว่าทั้ง ๒ รูป ได้ถูกฆ่าตายแล้ว เป็นเหตุให้ชาวบ้านชาวเมืองไม่เล่นด้วย ที่เคยส่งเสบียง เขาก็ไม่ให้ ถ้ารู้ว่าพวกสหายอยู่ที่ไหน เขาก็จะแจ้งทางการ ทางการจึงเอาเหตุฆ่าพระมาปลุกมวลชนต่อต้านพวกสหาย ทำให้พวกสหายล้มละลายหายไปจากภาคอิสานเพราะฆ่าพระ ๒ รูป

            อาตมาได้ทราบข่าว่าอาจารย์ทองฮวดมรณภาพ จึงคิดว่าวัดป่าหนองไผ่จะเป็นอย่างไร ประกอบกับอาตมาจะออกเที่ยววิเวกอยู่แล้ว จึงไปกราบเรียนหลวงตามหาบัวเพื่อออกวิเวก อาตมาจึงแวะมาดู พบว่าป่าก็ดี และไม่มีสิ่งก่อสร้าง
           
          สมัยอาจารย์ฮวดอยู่ ท่านอยู่ที่ถ้ำ ส่วนเณรที่ติดตาม ๒-๓ รูป ปลูกกระต๊อบเล็ก ๆ ให้อยู่ และรื้อศาลาตั้งศพเก่า ๆ มาเป็นศาลาฉันอาหาร ชาวบ้านเขาดูแลป่าดูแลพระดี และคิดว่าต่อไปสถานที่วิเวกของพระจะน้อยลงไปเรื่อย ๆ สถานที่ไหนวิเวกดี และชาวบ้านดี ก็น่าจะรักษาเอาไว้ ก็คิดว่าจะรักษาสถานที่แห่งนี้ไว้ จึงกลับไปปรึกษาหมู่เพื่อน ครูบาอาจารย์ ใคร ๆ ก็ว่าน่าจะรักษาไว้
         
           ผลที่สุดก็ตกลงกันว่าให้อาตมามารักษา ครั้งแรกไม่ได้ตั้งใจมาอยู่นะ คิดว่ามาเพื่อภาวนา ก็ไปกราบเรียนหลวงตามหาบัวว่า เกล้ากระผมจะหาโอกาสทำความเพียรที่วัดป่าหนองไผ่สักระยะหนึ่ง ถ้าเกล้ากระผมไปแล้วขัดข้องในการปฏิบัติธรรม มีความสงสัยในธรรม หรือไม่สะดวกในการอยู่ในการทำความเพียรก็จะกลับมาที่วัดป่าบ้านตาด ท่านก็อนุญาต อาตมาก็ออกมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๔ พรรษาที่ ๑๒ จนถึงปัจจุบัน เกือบ ๓๐ ปีแล้ว

              อาตมาออกจากวัดป่าบ้านตาด มาอยู่ที่วัดป่าหนองไผ่ วันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๔ มาอยู่ระยะหนึ่งแล้วกลับไปวัดป่าบ้านตาด จนใกล้เข้าพรรษาจึงกลับมาจำพรรษาที่วัดป่าหนองไผ่ในถ้ำองค์เดียว จะบิณฑบาตในหมู่บ้าน ต้องข้ามลำห้วยหน้าวัด จึงตัดต้นไม้ล้มพาดเป็นสะพานข้าม พอหน้าน้ำก็พัดสะพานไป ก็ตามไปเก็บซากมา แล้วก็โค่นต้นไม้ลงมาอีก ริมลำห้วยต้นไม้เยอะมาก จึงตัดต้นไม้ที่ตรง ๆ หน่อยพาดเป็นสะพาน และให้รถวิ่งข้ามได้ด้วย มีชาวบ้านช่วยกัน บางทีออกไปบิณฑบาตกลับเข้าวัดไม่ได้ก็มี หรือออกไปบิณฑบาตไม่ได้ก็มี น้ำท่วม ฝนมาน้ำป่ามา สมัยก่อนไม่ได้กั้นลำห้วย สะพานก็ใช้ไม้ธรรมชาตินี่แหละ

           ต่อมาคนนั้นมาทำไอ้นี่ คนนี้มาทำไอ้นั่น ต่อไปเรื่อย ๆ จนเป็นวัดเป็นวาขึ้นมา
สิ่งปลูกสร้างจะมีโยมมาทำถวาย อยากทำก็ทำไป ถ้าพระไปยุ่งจะเป็นภาระเป็นกังวล ยุ่งเหยิงวุ่นวายภายในจิตในใจ เลยไม่ได้ภาวนาเป็นกังวล  ครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่มาที่นี่ ท่านว่าที่นี่เป็นมงคลดี พอได้มาสัมผัสปุ๊บ จะเย็น จะสะดุดใจ

อ.วรวิทย์ ทุกวันนี้ญาติโยมจะสมัครใจมาก็มา มีสถานที่พักให้อยู่ และมีไหมครับว่าที่พักเต็ม
พระอาจารย์สุธรรม
             ใช่ ปีนี้ก็ล้น ต้องปฏิเสธไปหลายราย แม้แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่คนรู้จักทั่วประเทศมาขอพัก ยังรับไม่ได้เลย
             เมื่อมาพักมาภาวนา เราต้องการให้ได้รับความสะดวก ได้รับประโยชน์จากการภาวนา เราไม่ต้องการให้มาอยู่ซ้อนกัน ห้องหลายคน จะคุยกันก็จะรบกวนจะเกรงใจกัน เพราะว่าผู้ปฏิบัติธรรมควรจะอยู่โดด ๆ เดี่ยว ๆ ถ้าอยู่ซ้อนกัน (๒ คน) ก็คุยกันแล้ว เสียเวลา จะเพิ่มพูนอารมณ์ หรือบางคนจะนั่งภาวนาอีกคนจะเดินภาวนา ต่างก็เกรงใจกัน รบกวนกัน เหมือนกับพระ หลังละองค์ แต่ถ้ามาอยู่วันสองวันชั่วคราวก็อยู่รวมกันได้ แต่ถ้าจะมาภาวนาก็ไม่ควรอย่างงั้น พอช่วงเข้าพรรษาก็อยากให้ทุกคนได้ทำความเพียรเต็มที่ ได้ประโยชน์กันอย่างสมบูรณ์ จึงรับได้เท่าที่มีที่พักให้นั่นแหละ ไม่ปรารถนาให้มาเกิน พอเต็มแล้วก็แล้วกัน มาซ้อนกัน แทนที่จะได้ประโยชน์ต่างก็ไม่ได้ประโยชน์ ทางวัดก็ไม่ได้ประโยชน์ ผู้มาก็ไม่ได้ประโยชน์

อ.วรวิทย์ เพื่อนสายธรรมที่ไปธุดงค์ด้วยกัน ๔๐ กว่าปี นี้มีรูปไหนบ้างครับ
พระอาจารย์สุธรรม เยอะแยะ พระกรรมฐานนี้จะรู้จักกันหมด เพราะไปด้วยกัน แยกกันไป เยอะไปหมดสายธรรม บอกไม่ได้

อ.วรวิทย์ ทางใต้ได้ลงไปธุดงค์บ้างไหมครับ
พระอาจารย์สุธรรม
             ทางใต้ไปเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๖ มีท่านมหามณฑล เณรเบ๊าและอาตมา รวม ๓ องค์ ไปรอบ เดินไปเลาะตามทางรถไฟ เป็นปีที่จังหวัดนครศรีธรรมราชน้ำท่วมหนัก ส่วนภาคเหนือ เชียงใหม่ก็หนาวจัดจนนกตกลงมาตาย
             ปี พ.ศ.๒๕๑๙ ไปกับพระอาจารย์รอง นั่งรถทัวร์ไปลงที่ภูเก็ต จากนั้นก็เดินธุดงค์ตั้งแต่ภูเก็ต พังงา กระบี่ สงขลา จึงกลับขึ้นมา มีถ้ำเยอะมากโดยเฉพาะพังงา

อ.วรวิทย์ ทางใต้ดูแลพระดีไหมครับ
พระอาจารย์สุธรรม
             ทางใต้จะติดไปในทางชอบหมอดู ชอบหวยมาขอมาเสี่ยงทายมาขอเลขขอเบอร์ ชอบนำของมาถวาย แต่มาหาภาวนามีน้อยมาก
            ทางเหนือมีแต่คนเที่ยว คนเล่น แต่งเนื้อแต่งตัว ที่จะสนใจธรรมะไม่ค่อยมี จึงไม่เหมาะที่นักปฏิบัติธรรมจะอยู่ เหมาะที่สุด คือ ภาคอิสาน เมื่อมาอยู่แล้วไม่คิดจะหนีไปไหน ทั้ง ๆ ที่ทางบ้านอ้อนวอนนิมนต์ให้กลับลงไปอยู่ จะมีผู้บริจาคที่ดินสร้างวัดก็มีเยอะแยะทั้งฝ่ายพระฝ่ายโยม

อ.วรวิทย์ ปัจจุบันพระอาจารย์อายุเท่าไหร่แล้วครับ
พระอาจารย์สุธรรม ปีนี้ อายุจริง ๖๐ ปีพอดี อายุพรรษา ๔๐ พรรษา บวชอายุ ๒๑ ปี เกิดวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๒

อ.วรวิทย์ การปฏิบัติธรรมที่ได้ผลดี เพราะสถานที่สัปปายะ หรือเป็นเพราะนิสัยของบุคคลคนนั้นครับ

พระอาจารย์สุธรรม
            มันก็เกี่ยวเนื่องกัน สถานที่ต้องเป็นสัปปายะ เพราะสถานที่เป็นจุดเบื้องต้นเลยที่จะทำให้จิตเราดูดดื่มต่อการปฏิบัติธรรมหรือไม่ ต้องเลือกสถานที่ บางทีสถานที่ที่ไปภาวนาไม่ได้เรื่องเลย บางที่เราเข้าไปสัมผัสปุ๊บดูดูดดื่มเลยนะ อยากจะนั่งภาวนา อยากเดินจงกรมทั้งวัน จิตนิ่งละเอียดดี มันหนุนกัน

              สองอยู่ที่ความเพียรของเรา อย่าท้อแท้ ถ้าเราตั้งจุดมุ่งหมายว่าเข้ามาเพื่อปฏิบัติธรรม ให้รักษาจุดมุ่งหมายนี้ เราบวชมาเพื่ออะไร ให้รักษาจุดมุ่งหมายอันนี้ไว้ แล้วให้มีความเชื่อมั่นลงไปว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่มีคำว่าโมฆะ ปฏิบัติแล้วไม่ได้อะไรไม่มี แล้วก็ธรรมะของพระพุทธเจ้าเปิดเป็นสาธารณะ ไม่มีใครผูกขาด พระพุทธเจ้าก็ไม่ผูกขาด แต่หวังไว้เป็นสมบัติของผู้ปฏิบัติ ก็เมื่อเราเป็นผู้ปฏิบัติเดินตามร่องรอยของศาสดา ทำไมเราจึงจะไม่ถึงจุดหมายนั้น ตั้งความเชื่อมั่นลงไปแล้วก็ทุ่มเท ลงไป ไม่ต้องไปห่วงหาอาลัยอาวรณ์

              พระพุทธเจ้าท่านเป็นกษัตริย์ มีบริษัทบริวารมากมายก่ายกอง มีทรัพย์สมบัติท่วมฟ้าท่วมแผ่นดิน ท่านออกมาท่านไม่ได้อาลัยอาวรณ์เลย ท่านวางไว้เบื้องหลังหมด แล้วเรามีอะไรมากมายก่ายกองขนาดไหนที่จะไปเทียบกับพระพุทธเจ้า ทำไมเรายังจะมีแต่ความอาลัยอาวรณ์ มีแต่ความห่วงโน่นห่วงนี่ แล้วเราจะไปหาธรรมมาได้อย่างไร พระพุทธเจ้ามีมากกว่าเราตั้งกี่หมื่นกี่แสนเท่า พระองค์ยังไม่มีความอาลัยอาวรณ์ นั่นแหละลักษณะของผู้ที่จะทรงธรรม
          
            ก็เมื่อเราเป็นผู้ปรารถนาธรรม เราจะมาห่วงหาอาลัยอาวรณ์กับอะไร ไม่ว่าจะผู้คน ไม่ว่าจะทรัพย์สิน อะไรต่ออะไรทุกสิ่งทุกอย่าง ปล่อยมันไว้ข้างหลังให้หมด เหลือแต่เดินหน้าอย่างเดียว อย่าหันหลัง เรื่องหลังเป็นเรื่องอดีตแล้ว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นหันหลังให้ ถ้าหากเราหันกลับไป จะมีความอาลัยอาวรณ์ ความผูกพัน ความอาลัยอาวรณ์นี้จะทำให้เราอ้อยอิ่ง อุปทานความยึดมั่นถือมั่น ก็แม้แต่อัตตาตัวกูเรายังต้องวาง แล้วเราจะไม่วางคำว่า ของกูหรือ? ถ้าเราวางของกูไม่ได้ แล้วเราจะวางตัวกูได้อย่างไร จะวางของกูได้ ก็ต้องวางตัวกูได้ เพราะฉะนั้นคำว่าของกูนี่เราต้องวาง ถ้าวางมันไม่ได้แล้วเราจะวางตัวกูได้อย่างไร อัตตาตัวนี้มันหนักยิ่งกว่าสิ่งแวดล้อมมากขนาดไหน

             เพราะฉะนั้นอย่าไปผูกพันอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ บริษัท บริวาร ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง พ่อแม่ จะต้องวางไว้ข้างหลัง นั่นเป็นสมมติอันหนึ่ง เมื่อเราจะมุ่งหน้าปฏิบัติธรรมแล้ว ให้มุ่งหน้าปฏิบัติธรรมไป สิ่งเหล่านั้นจะเกี่ยวเนื่องกันต่อเมื่อมีเหตุตามความจำเป็นตามเหตุตามผลเท่านั้น แต่จิตเราจะถอนอุปทานมามุ่งหน้าอย่างเดียว ถ้าเราตั้งมั่นจิตแน่วแน่แล้วล่ะก็เชื่อเถอะ ธรรมะของพระพุทธเจ้าจะเปิดเผยออกมาให้สัมผัสได้แน่นอน แต่ว่าเราจะเดินไปข้างหน้าก็อ้อยอิ่ง กังวลอาลัยอาวรณ์อยู่ข้างหลัง จะก้าวไปข้างหน้าหรือก็ห่วงข้างหลัง จะถอยหลังก็ห่วงข้างหน้า ไป ๆ มา ๆ เลยอยู่ที่เดิม พอนาน ๆ ไป เลยท้อแท้ ไม่มีความเข้มแข็งอดทน แต่ถ้าเราเดินไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง ปล่อยไว้หลังว่าเป็นเรื่องอดีต นี่เราจะมุ่งหน้า แล้วมุ่งหน้าเดินด้วย เราจะสัมผัสธรรมอย่างแท้จริง พอเราสัมผัสกับธรรมอย่างแท้จริงแล้วเราจะเอาธรรมะมาแจกจ่ายข้างหลังได้อย่างอาจหาญ นั่นแหละพระพุทธเจ้าท่านมุ่งอย่างนั้น

               พระพุทธเจ้าท่านมุ่งหน้าเดินหน้าโดยไม่อาลัยอาวรณ์ข้างหลังเลย เมื่อท่านไขว่คว้าธรรมอย่างสมบูรณ์แล้ว ท่านจึงไปเจือจานเผื่อแผ่ข้างหลัง จะเสด็จกรุงกบิลพรรดิ์ก็ต่อเมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านโปรดได้มากมายก่ายกอง เป็นประโยชน์มากมายก่ายกอง แต่ถ้าท่านจะโปรดเมื่อท่านเป็นเจ้าชายสิทธิทัตถะท่านจะโปรดอะไรได้ขนาดไหน เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่อาลัยอาวรณ์ แล้วพวกเราล่ะจะเดินตามพระศาสดาหรือจะเดินตามใคร ต้องมาคิดพิจารณาดู ถ้าเราเดินตามรอยพระศาสดา แล้วธรรมะยังงัยก็ต้องเปิดเผยแก่เราแน่นอน สิ่งนี้ทำให้เกิดความดูดดื่มต่อการปฏิบัติธรรม ไม่คิดเห็นว่าโลกเรานี้จะวิจิตรพิสดารมากกว่าธรรม

             เพราะฉะนั้นการคิดที่จะยินดีพอใจไปอยู่กับโลกจึงไม่มี เมื่อจิตเข้าไปสัมผัสธรรมแล้ว มีแต่อย่างไรกูจะต้องเป็นเจ้าของธรรมให้ได้ อะไรที่จะเป็นพิษเป็นโทษเป็นภัยที่จะทำให้เราถอยหลัง เราก็จะพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น ถึงแม้ตามหลักจิตปุถุชนจะยินดีพอใจขนาดไหน เราก็พยายามฝืน ถ้าหากไม่ฝืนความเป็นปุถุชน จิตที่เป็นปุถุชนก็จะยินดีไปคลุกเคล้าเรื่องสังคม เรื่องโลก แล้วการคลุกคลีเรื่องสังคม เรื่องโลก มันไม่เป็นเครื่องขัดเกลาเลยนะ หากเราหลงเพลินไปไม่รู้ตัว สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพลินกับสังคม เลยถูกสังคมจูง ไม่ใช่เราจูงสังคมแล้ว ต้องระวังให้ดีสำหรับ นักปฏิบัติธรรม


รูปที่ ๑๗ พระอาจารย์สุธรรม  อาจารย์วรวิทย์ ตงศิริ
ท่านผู้พิพากษาอนุพงษ์  โพร้งประภา


อ.วรวิทย์ สมควรแก่เวลาแล้ว กระผมขอรบกวนพระอาจารย์เพียงเท่านี้ ขอกราบนมัสการลาครับ
พระอาจารย์สุธรรม อยู่ดีมีสุขเด้อ


วันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ เวลา ๑๓.๔๕-๑๕.๐๐ น.
ณ กุฏิพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
วัดป่าหนองไผ่ ต.ดงมะไฟ อ.เมือง จ.สกลนคร