วันจันทร์ ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ เวลาหกโมงเย็น เมื่อเดินทางไปถึงเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม คูบาเอกพาทำวัตรเย็นและนั่งกรรมฐานประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง จากนั้นคูบาสอนได้พาไปพบหลวงพ่อพระอาจารย์สุธรรมที่กุฏิสองชั้นเมื่อเวลา ๑ ทุ่ม ๒๐ นาที สำนวนพระของคูบาสอนว่า
“คูจารย์ครับ ขอโอกาส อาจารย์วรวิทย์มาแล้วครับ” “หือมาแล้วหรือ”
รูปที่ ๑๘ พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม ท่านอนุพงษ์ โพร้งประภา (เสื้อขาว) และผู้เขียนเสื้อดำ
ท่านพระอาจารย์สุธรรมเปิดประตูกุฏิออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เดินมานั่งที่เก้าอี้ในกุฏิ แล้วให้โอวาทธรรมและกำลังใจ ก่อนไปปฏิบัติว่า
“การดำเนินชีวิตของคนเราทุกวันนี้มีแต่เรื่องสับสนวุ่นวาย เราจึงต้องหาความสงบ การหาความสงบจากภายนอกจากธรรมชาติ จึงจะน้อมนำให้เกิดความสงบภายในจิต เกิดความหนักแน่นในจิตด้วยการกำหนดลมหายใจหรืออาณาปานนุสติ ให้ความสงบภายนอกเสริมความสงบภายในด้วยการมาอยู่ป่าอยู่เขานี้แหละ ขอให้เดินจงกรมให้มาก อย่าให้จิตคิดมาก อย่าให้ความสนใจกับเรื่องราวจากอดีต หรืออนาคต ให้คำนึงถึงปัจจุบันคือลมหายใจ อย่าสนใจคิดถึงดิน ฟ้า อากาศ บุคคล ให้สนใจในงานคือ พุทโธ คือจิตผู้รู้ระวังกับอัตตาตัวตนผู้รู้ อย่าให้แยกจากกัน แต่ถ้าหากแยกจากกันก็อย่ากังวล อย่ารัก อย่าชอบ อย่าชัง ให้มีพุทโธ ๆ ๆ ๆ ๆตลอดไป แล้วอารมณ์ในเรื่องราวต่าง ๆ จะหมดอิทธิพลหรือจืดจางไป ให้มีสติกับอารมณ์ในลมหายใจให้มาก ให้จิตค่อย ๆ ละเอียดผ่องใส อารมณ์ต่าง ๆ ให้จืดจาง จิตก็จะผ่องใส เหมือนเมฆหมอกจางจากใจ พระอาทิตย์ พระจันทร์สว่างเช่นใด จิตก็ให้สว่างผ่องใสเช่นนั้น เมื่อจิตผ่องใสแล้วความคิดจะแยบคาย ความคิดนี้คือปัญญา คือสัมมาทิฐิและเป็นความเห็นชอบขึ้นมาได้ จิตที่ไม่มีสัมมาทิฐิจึงยึดมั่นถือมั่น หลงความเกิดดับ เพราะเราเห็นผิด ชอบผิด
จิตที่ที่มีสัมมาจะคิดแยบคายและปล่อยวาง พร้อมกับสร้างความสงบภายใน จะเห็นศาสนาในจิต เห็นศีล สมาธิ ปัญญา ในจิต ไม่ใช่ในสมาธิ ศาสนานั้นอยู่ที่จิต อยู่ที่ตัวเรา ทุกคน ไม่ได้อยู่ในพระหรือเณร จำไว้ว่า เมื่อขึ้นเวทีแล้วอย่าไหว้ครูนานให้ชกเลย อย่ามัวแต่คอย เพราะกิเลสยังไม่คอยเรา ให้พุทโธ ๆ ๆ อยู่กับ ลมหายใจ อยู่ในห้องน้ำก็พุทโธ ไม่ต้องตั้งท่า ขอให้มีสติ มีสติแล้วนั่นแหละคือการภาวนา ทำได้ทุกท่า ให้มีสติตามรักษา ปัญญาตามสอน
อาตมาจึงขออนุโมทนากับอาจารย์วรวิทย์อย่างมาก เพราะสิ่งเหล่านี้คนเราไม่ชอบรักษา คนที่จะชอบความสงบนั้นหาได้น้อย แต่เมื่ออาจารย์มาแล้วก็ขออนุโมทนา คนที่อยู่กับความโลภ ความโกรธ ความหลง กลิ่นรส ยุ่งเหยิง ศาสนาไม่พึงปรารถนา การอยู่กับสังคมแบบนี้ต้องวุ่นวาย จึงควรมาหาความสงบทั้งทางโลกและธรรม ถ้าเรามาหาความสงบทางจิต เราจะมีหลักเกณฑ์ของชีวิต”
เมื่อท่านพระอาจารย์สุธรรมได้กรุณาอธิบายโอวาทธรรมให้ฟังเป็นเบื้องต้นแล้ว ได้กราบเรียนท่านในเรื่อง กองทุนสงฆ์อาพาธสกลนคร ที่ได้เปิดบัญชีร่วมกับนายแพทย์ศิริโรจน์ กิตติสารพงษ์ ไว้สำหรับรักษาพระสงฆ์ที่อาพาธมารักษาตัวที่สกลนคร ท่านจึงกรุณาเล่าให้ฟังว่า
“กองทุนสงฆ์อาพาธนั้นท่านได้ริเริ่มทำไว้ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น ถ้าหากพระสงฆ์เจ็บป่วยหนักให้ไปรับการรักษาฟรีได้เลย (ติดต่อเบื้องต้นที่มูลนิธิหออภิบาลพระสงฆ์ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หมายเลขโทร ๐๔๓ – ๓๖๖๓๒๓ ) เพราะมีกองทุนอยู่แล้ว 40 – 50 ล้านบาท สำหรับกองทุนสงฆ์อาพาธสกลนครนี้ ท่านขออนุโมทนาและขอสมทบปัจจัยจำนวน ๕๐๐๐ บาท เห็นว่าเป็นโครงการที่ดี เมื่อพระสงฆ์อาพาธในเบื้องต้น ให้ใช้กองทุนนี้ ให้ทำหนังสือมาให้ท่านเซ็นเป็นหลักฐานไว้ และท่านยินดีให้นำชื่อท่านออกอากาศรายการวิทยุ วันอาทิตย์ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดสกลนคร คลื่น 91.25 เมกกะเฮริต รายการเวทีอาสาเพื่อประชาชน วันอาทิตย์ เวลา 3 ทุ่ม ถึง 6 ทุ่ม ท่านพร้อมจะเป็นที่ปรึกษาและให้นำรายละเอียดมาให้ท่านดูด้วย พร้อมนี้ท่านยังให้โอวาทและกำลังใจว่า
“พระสงฆ์ที่ท่านยังไม่มีบารมีมาก เนื่องจากยังเป็นข้าวเปลือกอยู่ หากญาติโยมช่วยกันดูแลอุปถัมภ์ท่านดี ท่านก็จะมีความพากเพียรพยายาม ต่อไปภายหน้า ท่านก็จะทรงธรรมปัญญา ข้าวเปลือกก็จะกลายเป็นข้าวสาร และเป็นข้าวสุกในที่สุด”
การเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อมีหลักธรรม หลักใจแล้ว จิตใจจะสงบ โรคทางกายก็จะสงบตามด้วย การปฏิบัติธรรมจึงเป็นการสร้างใจไม่ให้ป่วย ถึงแม้ร่างกายป่วย จิตใจก็ไม่ป่วยตาม จึงให้รักษาธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อผ่อนคลายร่างกายลงไปให้มาก การปฏิบัติธรรมรักษาโรคทางกายให้หายได้ แต่ผู้เจ็บป่วยต้องให้ความสำคัญของใจด้วย การรักษาใจด้วยธรรม ปฏิบัติธรรม จิตจะไม่เอนเอียงไปกับการป่วยทางกาย และทำให้เกิดพลังให้การป่วยทางกายลดลง
แม้จนถึงที่สุดแล้ว ร่างกายป่วยจนแตกดับ แต่ไม่ฉุดจิตใจให้แปรปรวน แต่หากเราไม่มีธรรมะ การป่วยทางกายจะทำให้ใจป่วยด้วย การเจ็บป่วยจึงต้องมีหลักใจ หลักใจจะเกิดได้ด้วยการปฏิบัติธรรม และจะรักษาให้กายหายป่วย ใจหายป่วย ถ้าร่างกายหายป่วยจิตใจก็ดี หากร่างกายป่วยจนสลายแตกดับ เกิดการพ่ายแพ้ทางร่างกาย แต่จิตใจไม่พ่ายแพ้ ใจที่ไม่พ่ายแพ้ คือใจที่มีหลัก แต่ถ้าใจไม่มีหลักเท่ากับร่างกายแพ้และจิตใจก็พ่ายแพ้ เมื่อสิ้นชีวิตไปก็จากไปด้วยความยุ่งยากยุ่งเหยิง”
ท่านได้บอกให้ คูบาสอน เตรียมหาผ้าห่ม เสื่อ น้ำดื่ม เทียนไข ไฟฉายและไม้ขีด พาไปพักที่กุฏิหลังที่ ๓ ซึ่งไม่มีไฟฟ้าใช้ มีแต่ห้องน้ำสะอาด หลังจากปูเสื่อจุดเทียนไขให้แสงสว่างแล้ว ไหว้พระสวดมนต์ บอกป่าวให้เทวดาได้ทราบว่าข้าพเจ้าไม่ได้มาล่วงเกินแต่มาปฏิบัติธรรม อย่าตื่นอย่าทักท้วงเด้อ ได้เริ่มลงต้นปฏิบัติตามคำที่ท่านพระอาจารย์สุธรรมสอนว่า อย่ามัวแต่ไหว้ครู เวลา ๒๑.๐๐ น. ถึง ๒๒.๔๕ น. เดินจงกรม แล้วนอนพักหลับไปในกุฏิอากาศหนาวมากประมาณ ๑๓ องศา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น