วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

10.ประวัติและปฎิปทาพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม จากคำบอกเล่าขององค์ท่าน

ประวัติและปฎิปทาพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
จากคำบอกเล่าขององค์ท่าน ณ กุฏิพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
วัดป่าหนองไผ่ ต.ดงมะไฟ อ.เมือง จ.สกลนคร



          วันเสาร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ เวลา ๑๓.๔๕น. ผู้เขียนได้เดินทางมาถึงวัดป่าหนองไผ่ ต.ดงมะไฟ อ.เมือง จ.สกลนคร เพื่อขอเมตตาอนุญาตกราบเรียนสัมภาษณ์ประวัติพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม เจ้าอาวาสวัดป่าหนองไผ่ เพื่อประกอบหนังสือเจ็ดธรรมราตรี ท่านพระอาจารย์ได้เมตตาเล่าเรื่องราวจากอดีตมากมายหลายเรื่อง ได้ขออนุญาตบันทึกเทปเสียงท่านไว้ ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวประวัติจากการบอกเล่าของท่านพระอาจารย์ ดังต่อไปนี้


อ.วรวิทย์
          กราบนมัสการครับพระอาจารย์ ตอนแรกว่าจะพิมพ์หนังสือเจ็ดธรรมราตรี หลังจากได้สนทนากับพระอาจารย์ในเรื่องปาฏิหาริย์ที่เขียนไว้ และเมื่อกลับไปอ่านอีกครั้ง ประกอบกับได้ฟังซีดีหลวงปู่เทสก์ที่เปิดไว้ตลอดทุกคืน ก็ได้ทราบเหมือนกับที่พระอาจารย์กล่าวไว้เลยครับว่า ปาฏิหาริย์เหล่านี้อย่าไปยึดมัน เพราะจิตคนชอบที่จะออกไปโลดโผน ไอ้ที่เป็นของดีอยู่สงบกับไม่ชอบ คนไปติดอยู่กับตรงนั้น ก็ต้องมีวิธีตัด เพราะฉะนั้นในหนังสือนี้มีเรื่องปาฏิหาริย์ก็ต้องเพิ่มข้อมูลว่าจะแก้ไขเมื่อเจอภาพนิมิตเหล่านี้อย่างไร คือ ให้มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีสติ อันนี้เป็นเรื่องที่หนึ่งในหนังสือ

พระอาจารย์สุธรรม
          เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเฉพาะคนเฉพาะจิตของบุคคลผู้นั้น มันเป็นนิสัยวาสนาของคนต่างกัน ถ้าหากเราไม่มีนิสัยวาสนา เมื่อเราได้ยินเขาว่า เขาเห็นอย่างนี้อย่างนั้น แล้วเราอยากเป็นอยากรู้อยากเห็นอะไรต่ออะไร

         ดังนั้นพอเราอยากแล้วจิตเราไปปรุงแต่งโดยไม่รู้ตัว มันเป็นสังขารปรุงออกไป พอปรุงมากเป็นรูปเป็นภาพเป็นอะไรออกไป ผลที่สุดเราไปติดไปตาม ไปหลอกตัวเอง หลอกตัวเองไป ๆ มา ๆ เลยทำให้กรรมฐานเสีย หรือบางคนที่มีปรากฏขึ้นมาด้วยนิสัยของตัวเองก็ตาม แต่ตัวเองยังไม่มีพื้นฐาน ตัวเองไปติดไปชอบ ไปติดไปยึดมันเข้าไปโดยไม่มีขอบไม่มีเขต ผลที่สุดเลยหลอกตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าเกิดภาพนิมิตขึ้นก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน เราอย่าไปยุ่งกับมัน อย่าไปสนใจมัน
        
        จุดมุ่งหมายของเราเพื่ออะไร เพื่อจะทำความสงบ เช่นว่าเรายกธรรมะบทนี้ขึ้นมากำกับจิต จุดมุ่งหมายคือความสงบ เราก็มุ่งที่ความสงบจริง ๆ เรื่องอื่นนอกจากนี้เราจะไม่ให้ความสำคัญมันทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อมันปรากฏขึ้นมา มันก็หมดไปหมดไป เช่นเราเปรียบเทียบง่าย ๆ ว่า เราอยู่ที่วัดป่าหนองไผ่เนี่ยนะ จุดมุ่งหมายเราจะไปสกลนคร สิ่งที่จะพาเราไปถึงสกลนครได้ คือ รถ เราก็ขึ้นไปนั่งในรถ รถคันนี้จะพาเราไปถึงสกลนคร จุดสำคัญคือเราต้องเข้าใจว่าจุดมุ่งหมายของเราคือสกลนคร แล้วสิ่งที่จะพาเราไปถึงสกลนครได้คือรถ

         เพราะฉะนั้นเราจะต้องให้ความสำคัญสองอย่างนี้ไว้ ไม่ให้อย่างอื่นมีความสำคัญยิ่งกว่าสองอย่างนี้ หนึ่งเราจะต้องจับรถไว้ให้แน่น สองเราอย่าไขว้เขวในเรื่องจุดมุ่งหมาย พอขึ้นรถปุ๊บ บางคนพอนั่งรถไปอาจจะเห็นคนฟ้อนรำอยู่ข้างทางก็ได้ ถ้าเห็นคนฟ้อนรำสวย ก็โดดลงจากรถ ไปฟ้อนรำกับเขา ลงจากรถไปแล้ว ไม่ติดรถแล้ว ไม่มีรถอยู่ในตัวแล้ว ไปฟ้อนรำหลงป่าหลงทิศ ไม่ถึงสกลนคร หรือบางคนอาจจะเห็นรถชนกัน หรืออะไรต่าง ๆ อาจไปสนใจไปติดตาม จุดมุ่งหมายเลยไม่ถึงกัน

          หลักสำคัญเราจะเห็นหรือเราไม่เห็นก็ตาม บางคนอาจจะเห็นหลายอย่าง บางคนขึ้นแล้วก็หลับเลย แต่มันไม่ทิ้งรถ มันก็ถึงสกลนคร บางคนอาจจะเห็นโน่นเห็นนี่แต่มันไม่ติดตาม เห็นก็สักแต่ว่าเห็น มันก็จับรถไว้แน่น มันก็ผ่านไปในความรู้สึก ผ่านไปในความเห็น ผ่านไป ๆ จุดมุ่งหมายก็เลยถึงสกลนคร พอถึงสกลนคร คนไม่เห็นอะไรเลยคือหลับตลอด เหมือนคนภาวนาแล้วเงียบนิ่งไปถึงความสงบ ไม่มีนิมิตไม่มีความรู้ไม่มีอะไรเลย แต่ก็ถึงความสงบ บางคนจิตโลดโผนอาจจะเห็นปรากฏอย่างโน้นปรากฏอย่างนี้แต่ไม่ได้ติดตาม ก็ถึงความสงบได้ ถ้าคนติดตามไปหลงทิศหลงแดนไปไม่ถึงฝั่ง เราต้องเข้าใจจุดมุ่งหมาย

        ดังนั้นคนที่มีนิสัยวาสนาในทางนี้มากกว่า เขาก็มีอุปกรณ์ในการสอนในการเผยแผ่หรือในการพูด ดังเช่นครูบาอาจารย์ที่ท่านมีจิตอภินิหารมาก พอท่านไปถึงจุดมุ่งหมายท่านแล้ว ท่านก็ได้ความอภินิหารของท่านมาเป็นอุปกรณ์ในการเผยแผ่ธรรมะ มันก็ได้มากยิ่งขึ้นหรือได้สะดวก ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น หลวงปู่มั่น ท่านมีวาระจิตพวกนี้เยอะ เพราะฉะนั้นท่านมาอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ ท่านก็อาจจะแสดงพวกนี้ออกมาเพื่อให้ลูกศิษย์ยอมรับ พอศิษย์ไปสัมผัสแล้วยอมรับ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วท่านจะชี้บอกอย่างไร ๆ ก็ได้หมดทุกอย่าง

         แต่บางคนท่านก็แสดงธรรมนิ่ง ๆ เงียบ ๆ แต่การแสดงธรรมของท่านก็ทำเพื่อความหลุดพ้น มันสำคัญตรงนี้ ถ้าเราไม่มีไม่รู้ไม่เห็นก็เหมือนกับเราหลับไปจะเป็นอะไรในเมื่อจุดมุ่งหมายของเราอยู่ตรงนั้น เราไม่ได้จะมาภาวนาเพื่อจะได้เห็นไอ้นั่นเห็นไอ้นี่ ถ้าเราอยากเห็นก็ไปเที่ยวหาเที่ยวมองซี จะไปหลับตาทำไม ตอนนี้เราจะปฏิเสธถึงคนที่เขารู้เขาเห็นก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะเขามีจริตวิสัยอย่างนั้น ไม่ใช่เราไม่รู้ไม่เห็นแล้วเราจะไปปฏิเสธทุกคนทุกอย่างก็ไม่ได้ คนเห็นมันมี แต่ถ้าคนอื่นเห็นแล้วเราอยากเห็นเหมือนเขาไม่ได้ เพราะมันเป็นของใครของมัน

อ.วรวิทย์
          อันนี้แหละครับคือเรื่องที่หนึ่ง เรื่องที่สอง คือท่านอนุพงษ์ท่านท้วงว่า อยู่ที่ไหนวัดป่าหนองไผ่ ถ้าคนสกลนครก็อาจจะรู้ ไม่มีปัญหา แต่ถ้าหนังสือไปเผยแผ่ที่อื่นเขาก็จะสงสัยว่าวัดป่าหนองไผ่อยู่ที่ไหน วันนี้(๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒)ก็เลยมาถ่ายรูปและบรรยายเส้นทาง ตั้งแต่ประตูเมืองศาลากลาง จับเข็มไมล์มาจนถึงประตูวัด ก็ประมาณ ๒๒.๒๐ กม.พอดี และก็จะถ่ายภาพบรรยากาศของบริเวณวัดด้วย ในหนังสือได้เขียนถึงถ้ำของหลวงปู่ฝั้น ก็จะถ่ายภาพประกอบด้วย

พระอาจารย์สุธรรม
ถ้ำนั้นในหนังสือประวัติหลวงปู่หล้าที่ท่านเขียนไว้เรียกว่า ถ้ำบ้านไผ่ เมื่อท่านเดินธุดงค์มา ท่านลาหลวงปู่มั่นมาเที่ยววิเวกธุดงค์ แล้วก็เดินมาเรื่อยมาได้ยินข่าวว่า หลวงปู่ฝั้นท่านอยู่ที่ถ้ำบ้านไผ่ ท่านเลยขึ้นมาหาหลวงปู่ฝั้นที่นี่ มาภาวนาอยู่ที่ถ้ำบ้านไผ่ หลังจากนั้นท่านก็ไปถ้ำผาแด่น

อ.วรวิทย์
ทางเข้าถ้ำผาแด่นก็ถ่ายรูปไว้แล้ว ได้ทราบแม่ชีแก้วก็มาที่นี่ใช่ไหมครับ

พระอาจารย์สุธรรม
ไม่ใช่นะ แม่ชีแก้วอยู่ที่ถ้ำภูเก้า ถ้ำภูเก้าก็เป็นหน้าผาคล้ายถ้ำผาแด่นนี่แหละ แต่ผาแด่นตั้งตรงกว่า ภูเก้าได้สร้างศาลาโดยใช้หน้าผาหินเป็นหลังคาได้เลย
ถ้ำผาแด่น ตั้งแต่ท่านอาจารย์อุ่นเป็นสามเณรไปอยู่ ท่านอาจารย์ใหญ่สิงห์ทองไปอยู่ สมัยนั้นเป็นป่า ไม่มีใครกล้าลงมาปลดทุกข์ กลัวเสือ เสือมันหมดไปเพราะฟอลิดอลหรือหัวกะโหลกไขว้ ชาวบ้านใส่ฟอลิดอลในถุงพลาสติกแล้วยัดไปในก้อนเนื้อ ไปโปรยไว้ เสือก็กินเนื้อพร้อมถุงฟอลิดอล เสือจึงค่อย ๆ หมดไป เพราะมันชอบมาขโมยวัวควายของชาวบ้าน

อ.วรวิทย์ อยู่ที่นี่เคยมีเสือไหมครับ ตามประวัติ
พระอาจารย์สุธรรม
ก็ถ้ำหลวงปู่ฝั้นนี่งัย หลวงปู่ฝั้นมาภาวนา เสือมันนอนอยู่ข้างบน ชาวบ้านคิดว่าท่านตากผ้าเหลืองไว้ พอมองไปที่ไหนได้ หางเสือโผล่มา

อ.วรวิทย์
ในอินเตอร์เน็ตมีประวัติของพระอาจารย์ แต่ผมเป็นคนไม่ชอบ Copy ประวัติแบบนั้นมาลง ก็เลยมาเรียนรบกวนถามประวัติท่านพระอาจารย์สักเล็กน้อยนะครับ

พระอาจารย์สุธรรม ไม่เป็นไร

อ.วรวิทย์ พระอาจารย์เป็นคนจังหวัดระยองใช่ไหมครับ

พระอาจารย์สุธรรม
ใช่ อยู่อำเภอเมืองระยอง ไปทางปากน้ำ อาตมามีพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน ๑๔ คน พ่อแม่เป็นคนจีน
          โยมพ่อเป็นคนจีนมาจากเมืองซัวเถา แซ่จึง ชื่อ จึงเหี่ยงเค้ง ชื่อตามทะเบียนบ้านว่า นายบุญเลี้ยง แซ่จึง เหตุที่มาเมืองไทย เนื่องจากความยากจน ทำนา และโยมพ่อเป็นลูกคนเดียว เมื่อโยมพ่อเกิดได้ประมาณ ๗ วัน ปู่ก็มาเมืองไทย โยมพ่ออายุได้ ๗ ปี ปู่ก็เสีย โยมย่าจากซัวเถาจึงเดินทางมาอยู่เมืองไทย เพราะญาติพี่น้องของโยมย่ามาอยู่เมืองไทยก่อนแล้ว ญาติฝ่ายโยมย่า เช่น น้องชายของโยมย่า ที่โยมย่าเลี้ยงมา เพราะแม่ตายตั้งแต่เด็ก พอเป็นหนุ่มก็มาเมืองไทย มาตั้งร้านถ่ายรูป ทำฟัน เพราะอยู่เมืองจีนท่านเป็นหมอฟัน ร้านถ่ายรูปอยู่ที่สุพรรณบุรี ชื่อ ฉายาเซี่ยงไฮ้ น้องชายของโยมย่าก็คือปู่ของคุณนิรมล เมธีสุวกุล และคุณกวาง ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของอาตมา โยมย่าเป็นผู้เลี้ยงอาตมาตอนเด็ก ๆ

โยมพ่อโตเป็นหนุ่ม อายุประมาณ ๒๙ ปี จึงเดินทางมาเมืองไทย และโดนญาติทางเมืองไทย ดุโยมพ่อว่า อยู่ทางโน้นดีๆ แล้วมาทำไม จะมาวุ่นวายอะไรที่เมืองไทยอีก มาแล้วก็ต้องมารบกวนคนอื่นเขา (ซึ่งเขาอยากจะให้อยู่ดูแลญาติทางเมืองจีน)
โยมพ่อก็พูดแบบคนจีนว่า ฮวยไหล่ปุกกี้ หรือจะมาโกยเงินโกยทอง
ด้วยนิสัยโยมพ่อซึ่งไม่ต้องการพึ่งญาติพี่น้อง ยืนอยู่ด้วยปลีแข้งตัวเองตลอด โยมพ่อจึงมา ตั้งหลักตั้งฐานด้วยตัวของตัวเอง มาพักกับญาติ ๆ ของโยมย่าที่สุพรรณบุรีได้ไม่นาน ก็ย้ายมาอยู่ที่ หัวลำโพงกับหมู่เพื่อนที่มาจากเมืองจีนด้วยกัน รับจ้างทำงานหาเงินหาทองที่หัวลำโพง แต่ไม่คล่องแคล่ว เพราะโยมพ่อเป็นคนจีนริมทะเลอยู่แล้ว จึงไปอยู่ที่จังหวัดระยอง ไปลุยงานตั้งหลักตั้งฐานที่ระยอง

โยมแม่ ชื่อ จิวป่อเซี้ยม แซ่จิว เป็นคนจีนที่เกิดในประเทศไทย โยมตาเป็นลูกครึ่งจีนแล้ว อยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกับโยมย่า ญาติผู้ใหญ่เห็นชอบ โดยฝ่ายหญิงฝ่ายชายไม่รู้จักกัน ไปแต่งงานกันที่ระยอง

อาชีพที่จังหวัดระยอง ตอนแรกซื้อเรือเล็ก ๒ ลำ ใช้ถ่อ เพื่อรับจ้างบรรทุกของจากเรือใหญ่มาเข้าฝั่ง แต่ก่อนเรือสินค้าจะเทียบท่าที่ระยอง

ต่อมาทำเรือประมง ตั้งแต่ทำโป๊ะ ทำอวนลาก อวนดำ พอมารุ่นลูก ๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงอาชีพอาชีพทางทะเลเลิกทำหมด มาค้าของเก่า ตั้งบริษัทชื่อ จึงเหี่ยงเค้ง รุ่งเรือง จำกัด พี่น้องก็แยกกันออกไปคุมงานหลายร้าน

พี่น้อง ๑๔ คน อาตมาจำได้หมด จำชื่อเล่น
พี่สาวคนโต ชื่อ เฉง คนที่ ๒ คือ อาตมา ชื่อ สุธรรม รองลงมาชื่อ เกี๋ยง เลียง บ๊วย จุ่ย เสง เล็ง อา เล็ก เพียว หมวย ล้าน และ อ้อ

การดูแลครอบครัว
         เดิมทีทำอาชีพทางทะเล เมื่อเรือสินค้าหรือเรือประมงเข้ามา ทุกคนในบ้านจะออกไปช่วยกันทำ และเมื่อทำโป๊ะ มีเรือประมง ๔ ลำ มีลูกจ้างอีกประมาณ ๕๐-๖๐ คน เรื่องอาหารการกินในบ้าน โยมแม่จะเป็นหลัก ทำอาหารเลี้ยงคนในบ้านและคนงาน โยมแม่ทำคนเดียว ไม่ยอมให้มีลูกจ้าง พอพี่สาวโตก็ไปช่วยแม่ทำงานครัว เมื่อลูกผู้หญิงโตพอทำงานครัวได้ก็จะไปช่วยงานครัว ดังนั้นลูกสาวบ้านนี้ไม่มีคนไหนทำครัวไม่เป็น พอยุคหลังที่ไม่ต้องทำกับข้าวเลี้ยงคนงาน ถ้าน้อง ๆ ไปซื้ออาหารถุง อาหารนอกบ้านมา โยมพ่อจะด่า จะโกรธ ต้องให้ทำอาหารกินเอง

        การกินข้าวต้องกินพร้อมกันทุกวันในมื้อเย็น เพราะการกินข้าวร่วมกัน ได้คุย ได้สนิทสนมใกล้ชิดกัน เวลาอื่น ๆ บางคนก็ติดธุระ บางคนไม่สะดวก แต่เวลากินข้าวจะสะดวกคุยกันตลอด เพราะอยู่พร้อมหน้ากัน กินกันหยอกล้อกันไป เป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดกัน โต๊ะอาหารที่บ้านใครมาเห็นจะตกใจ เป็นไม้มะค่าหนา โต๊ะกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ เมตร เก้าอี้ล้อมสิบกว่าตัว

          ทุกวันนี้มีน้องสาวคนหนึ่งที่ไม่ได้แต่งงาน ก็อยู่เป็นหลักในบ้านแทนแม่ ซื้อกับข้าวทำกับข้าว โดยมีน้องสะใภ้ช่วย เวลาไปตลาดแม่ค้าจะเรียกเจ๊ให้ว่อน เพราะเวลาซื้อของจะซื้อเยอะมาก ครอบครัวใหญ่ ทุกเย็นก็จะมากินข้าวพร้อมกันเหมือนเดิม พี่น้องครอบครัวไหนมีของอะไรมาก็จะมาวางไว้ที่บ้านใหญ่ เป็นกองกลาง ไม่เอาไปเป็นส่วนตัว ครอบครัวไหนมาเห็นอยากจะเอาไปกินก็เอาไป

อ.วรวิทย์ โยมพ่อในสายตาของท่านพระอาจารย์เป็นอย่างไรครับ

พระอาจารย์สุธรรม
        โยมพ่อเป็นหลักได้มาก แม้โยมพ่อไม่รู้หนังสือ แต่เวลาทำงานจะทำจริงจัง พูดอะไรออกมาน่าคิดเยอะ เช่น เมื่อโยมพ่อมาอยู่ที่วัดป่าหนองไผ่ โยมจิต(อดีต ผอ.รร.วชิราวุธ) ได้เล่าให้อาตมาฟังว่า โยมพ่อให้คติหลายอย่าง

           บางครั้งเวลาที่ท่านพูด แต่เรายังอยู่ในภาวะที่ยังไม่ยอมรับ ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเวลาผ่านไปแล้ว น่าคิดเหมือนกัน มีหลาย ๆ อย่างที่อาตมาจำมาจากโยมพ่อ เช่น ตอนเป็นวัยรุ่น ทำงานอยู่ที่บ้าน เครื่องยนต์เสีย อาตมาพอรู้บ้างก็ซ่อมเอง บางครั้งอารมณ์มันเสีย มันเหนื่อย มันร้อน ทำให้ประกอบไม่ได้ ก็อัดก็ฝืนเข้าไป โยมพ่อมาเห็น แม้โยมพ่อไม่เป็นเรื่องเครื่องยนต์ ก็ว่า เจ้าอย่าทำตัวเก่งกว่าช่างเขานะ ช่างเขาทำมามันต้องพอดี ถ้าไม่พอดีมันขายไม่ได้ เมื่อเจ้าใส่ไม่พอดี เจ้าผิด ท่านสอนให้เราตรวจตราว่าเราผิดตรงไหน ก็จริงอย่างท่านว่า ถ้าเราจะถอดจะประกอบอะไร ถ้ามันไม่พอดี แสดงว่าเราผิด

             โยมพ่อเป็นคน ประหยัด เก็บหอมรอมริบเก่งมาก จะสอนลูก ๆ ประหยัดด้วย เช่น ยุคที่เราเป็นวัยรุ่น กางเกงเสื้อผ้าจะมีทรงแปลก ๆ เช่น ทรงอพอลโล ทรงจิ้งเหลน ทรงขาบานบ้าง เราเป็นวัยรุ่น ก็อยากใส่บ้าง ทั้ง ๆ ที่ไม่แพงนัก ไปขอเงินโยมพ่อไปซื้อ ท่านไม่ให้ ท่านดุว่า “ท่านไม่เสียดายเงิน แต่เสียดายลูก” ถ้าตามใจลูก เหมือนเพาะนิสัยสุรุ่ยสุร่าย ท่านไม่ได้เป็นเศรษฐี เพราะฉะนั้น ให้ลูกใส่ที่มันทน แม้จะแพงแต่ใส่ได้ทุกงานทุกโอกาส ดีกว่าไปเสียจุกจิกอย่างนั้น ใส่ได้ไม่เท่าไหร่ ก็ทิ้งแล้ว มันสิ้นเปลือง กางเกงที่มีอยู่เป็นกางเกงผ้าเสิร์ท แพงที่สุด แต่มันทน และเข้าได้ทุกสังคม เหมือนลักษณะผู้ดีใส่ สมัยนั้นตัวละประมาณ ๑๒๐ บาท แต่ทรงอื่น ๆ ประมาณ ๔๐-๕๐ บาท ใส่ได้เดี๋ยวเดียวก็ล้าสมัย แต่ทรงกลาง ๆ ผ้าเสิร์ท ใส่ได้ตลอด

         ท่านเป็นคน ขยัน ในถนนเส้นนั้นตลอดเส้น คนระยองร่ำลือกันเลย เรื่องนี้ท่านกินขาดเลยล่ะ
         โยมพ่อเป็นคน คุยสนุก เมื่อออกนอกบ้าน คนทุกคนจะคุยกับโยมพ่อได้หมด ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ จะสนิทสนมมาก แต่เมื่อเข้าบ้านโยมพ่อจะไม่ค่อยตลก ท่านจะเป็นคน เงียบ นิ่ง รักครอบครัว จะไม่ไปกินอะไร หรือเที่ยวเล่นนอกบ้านคนเดียว เช่น ตอนเช้า ถ้าจะไปนั่งร้านกาแฟ จะจูงลูกหลานไปนั่งกินด้วยกัน ไปตลาด ไปเห็นอะไรอยากกิน ก็จะซื้อมากินที่บ้าน เว้นแต่ไปงานกินเลี้ยงที่มีบัตรเชิญจึงไปคนเดียว
เงินที่หามาได้ จะให้โยมแม่เก็บไว้หมด โยมแม่เป็นผู้จัดการดูแลเงินและความเป็นอยู่ของทุกคน เวลาโยมพ่อมีการ์ดงานเลี้ยง เมื่อใกล้เวลา โยมแม่จะจัดเตรียมเสื้อผ้าแขวนไว้ พร้อมเงินใส่กระเป๋าไว้ใส่ซอง  โยมพ่อไม่เคยดูแลเรื่องเงินเลย จะให้โยมแม่ดูแลเรื่องเงิน เมื่อลูก ๆ โตขึ้นจึงปลดให้ลูกดูแลแทน

โยมพ่อจะพูดไทยปนจีน ลูก ๆ จะเข้าใจ แต่คนงานฟังแล้วจะต้องมาถามลูก ๆ อีกที โยมพ่อพูดเสียงดัง โผงผาง บางทีก็ตลก เช่น คนงานทำงานประมงเสร็จแล้ว(งานอื่นๆ จุกจิกก็มี) ก็จะแยกย้ายพักผ่อนเที่ยวเล่นได้ แต่คนงานใหม่ทำงานเสร็จแล้ว มาถามโยมพ่อว่า เถ้าแก่มีงานอะไรให้ทำอีกไหม โยมพ่อก็ว่า ถ้าเอ็งไม่มีงาน ก็เอาเรือไปขนทรายซีวะ ความซื่อของคนงานอิสาน จึงพายเรือออกไปขนทรายที่ริมทะเล เรือมันจมก็ต้องพายเรือไปรับมันกลับมา

อ.วรวิทย์ โยมแม่ล่ะครับ
พระอาจารย์สุธรรม
         เรื่องการว่ากล่าวตักเตือนลูก ๆ โยมพ่อจะให้โยมแม่จัดการ บางครั้งโยมพ่อไปได้ข่าวว่าลูกไปดื้อหรือเกเรอยู่นอกบ้าน โยมพ่อไม่ดุลูก แต่กลับมาว่าโยมแม่ว่า ทำไมลูกตัวจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมไม่ดุว่ามัน แม้การดุด่าว่ากล่าวตักเตือนจะเป็นหน้าที่ของโยมแม่ บางทีโยมแม่ก็โมโหเหมือนกันเถียงโยมพ่อว่า ลูกตัวเหมือนกันนี่ ทำไมตัวไม่ดุว่ามันบ้างล่ะ
          ตั้งแต่เล็กจนกระทั่งโต จนกระทั่งตายจากกัน ลูก ๆ ไม่เคยเห็นโยมพ่อกับโยมแม่ปีนเกลียวกันเลย ถ้าโยมพ่อเสียงดัง โยมแม่จะเงียบ ถ้าโยมแม่เสียงดัง โยมพ่อจะเงียบหรือเดินออกนอกบ้านไป



รูปที่ ๑๖ งานศพโยมพ่อ

           โยมแม่จะดูแลทุกอย่างในบ้าน โยมไม่ดุ แต่เป็นคนขี้บ่น เรื่องเดียวพูดยาว ถ้าลูกเถียง ท่านจะหยุดบ่น แต่ถ้าลูกไม่เถียง ท่านก็จะบ่นไปเรื่อย ตีลูกบ้างแต่ไม่รุนแรง เป็นโชคดีที่ลูก ๆ ทั้ง ๑๔ คน ไม่มีใครเสียสักคน ไม่ขี้เหล้าเมายา ไม่เที่ยวเล่น มีแต่มุ่งหน้าในการประกอบกิจการงานอาชีพ ครอบครัวอบอุ่น

อ.วรวิทย์ อะไรเป็นจุดเปลี่ยนมาสู่เพศบรรพชิตของท่านพระอาจารย์ครับ
พระอาจารย์สุธรรม
             จากการได้สนทนากับหมู่เพื่อนที่บวชเป็นพระแล้วกลับมาระยอง อาตมาก็คิดว่า ชีวิตเราอยู่ทางโลกมานานพอสมควรแล้ว (ตอนนั้นอายุประมาณ ๒๐-๒๑ ปี) จะต้องอยู่ทางโลกอีกยาวไกล ทำไมในช่วงเวลาสั้น ๆ เราจะบวชสักหน่อยดูได้ไหม สละเวลามาบวชบ้างไม่ได้หรือ ก็เลยเป็นเหตุให้บวช
           อาตมาสมัยอยู่ที่บ้านเป็นคนทำอะไรตามใจตัวเอง ในบ้านไม่มีใครบังคับได้ เป็นคนเลือกกินอาหารมากเลย ถ้ามองอาหารในบ้าน ไม่พอใจปุ๊บ จะเดินหันหลังออกเลย ไปสั่งอาหารข้างนอกกินดีกว่า พอจะบวชจึงถูกโยมแม่ปรามาสว่า “หน้าอย่างเจ้าจะบวชได้หรือ กินอาหารก็ยังเลือก ไปไหนก็ไปตามใจตัวเอง อยู่วัดไม่สามารถไปไหนตามใจตัวเองได้ กินก็ไม่ได้กินตามใจชอบ”
            การสนทนาพูดคุยทำให้ดูดดื่มกับครูบาอาจารย์นักประพฤติปฏิบัติ ท่านสนทนาด้วยคือ พระครูชินเทศ(ท่านมรณภาพแล้ว) เป็นเพื่อนรุ่นพี่ ท่านบวชแล้วท่านไปอยู่กับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่จังหวัดเชียงใหม่ พอออกพรรษา ท่านกลับมาที่ระยอง ก็ได้ไปสนทนาพูดคุยกับท่าน

                อาตมาออกบวช เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓ ตอนบวชได้นิมนต์พระจากเชียงใหม่ เช่น หลวงปู่หนู และท่านอื่น ๆ มาที่ระยอง ถ้าจะขึ้นไปบวชที่เชียงใหม่ จะทำให้ลำบากญาติโยม

               พระอุปัชฌาย์ คือ พระครูประจักษ์ ตันติยาคม วัดคีรีภาวนาราม อ.บ้านฉาง ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ใหม่ ๆ ก็บวชให้ อาตมาเป็นรูปแรก ท่านจะพูดว่าอาตมาเป็นศิษย์คนแรก พระอนุสาวนาจารย์ ตอนนี้ ท่านเป็นเจ้าคุณชั้นเทพ เป็นชาวระยอง ต.ปากน้ำปะแสร์ ชื่อ พระเทพธรรมาพร (ฉายา ประจวบ นันทปัญโญ) ท่านเจ้าคุณเทพเป็นคนที่กรุงเทพฯ อยู่วัดสัมพันธวงศ์ อีกองค์คือ พระครูประสก สุภาจาโร ชาวระยอง

           อาตมาบวชแล้วก็ขึ้นไปเชียงใหม่ ไปอยู่กับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่วัดดอยแม่ปั๋ง ประมาณ ๒-๓ เดือน แต่ไม่ได้จำพรรษา คิดว่าจะบวชไม่นาน แต่อยู่ ๆ ไปเพลินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าพรรษา ก็กลับมาจำพรรษาที่วัดตรีรัตนาราม จังหวัดระยอง

อ.วรวิทย์ ในทัศนะของพระอาจารย์ หลวงปู่แหวนท่านเป็นอย่างไรครับ
พระอาจารย์สุธรรม
       หลวงปู่แหวนท่านเย็น นิ่ง หาข้อตำหนิของท่านไม่ได้เลย เห็นแต่ความเย็นความนิ่งของท่าน ดังเช่น เวลาฉันภัตราหาร ความสำรวมของท่าน ท่านจับคำอาหารขบฉัน ก้มหน้าอยู่กับสำรับอาหาร หลวงปู่หนูจะคุยตลกขบขันขนาดไหน ท่านไม่แย้มปากเลย ไม่พูดคุยกับใคร ไม่หันซ้ายหันขวา ท่านนิ่งสนิท เหมือนท่านอยู่องค์เดียว จนกระทั่งเสร็จ ท่านจึงเริ่มสนทนาพูดคุย และเวลาท่านสอนพระจะนิ่มนวล เย็น

อ.วรวิทย์ มีธรรมะอะไรที่พระอาจารย์จำคำของหลวงปู่แหวนไว้ครับ
พระอาจารย์สุธรรม
            ถ้าพูดเป็นพื้น ๆ กลาง ๆ ใครไปใครมาก็ว่าหลวงปู่แหวน ท่านไม่มีอะไร  มีแต่ กุสลาทำเมา กุสลาทำเมา กุสลามันทำเมานะ มันไม่เป็นธัมโมธรรมะนะ ท่านจะเน้นอยู่ตรงนี้ บางคนมันฟังไม่เข้าใจ แต่จริง ๆ แล้วท่านพูดมันถูกตามหลักสังคมในยุคนั้นเลย
             กุสลาทำเมา คนเรามันเมากับความดี ความร่ำรวย ความสุข สะดวกสบายของตัวเอง ตัวเองมีฐานะดี มีความสะดวกสบาย เที่ยวเล่นสนุกสนานเพลินไปเรื่อย กุสลาทำเมา มันเมามันเที่ยวเล่นไปเรื่อย เพลิดเพลินไป ไม่มีโอกาสที่จะเข้ามาดูตัวดูใจตัวเอง ไม่มีโอกาสเข้าวัดเข้าวามาหาประพฤติปฏิบัติธรรมเลย นี่แหละเรียกว่า กุสลาทำเมา มันเมาไปกับความสะดวกสบาย เมาไปกับความสนุกสนานเพลิดเพลิน ก็ห่างเหินศีลธรรมไปเรื่อย เหมือนในสังคมที่เราเห็นอยู่ทั่วไปสำหรับคนประเภทที่หนึ่ง

            คนอีกประเภทหนึ่ง คือ อกุสลาทำเมา มันเมากับความทุกข์ยากอับจน จะทำมาหากินอะไร จะเอาอะไรมาใส่ปากใส่ท้องให้ลูกกู กูจะไปหาเงินที่ไหน ไปเอาที่ไหน มันมัวเมากับความทุกข์ยาก ความขาดแคลนของตัวเอง เมาในการแสวงหา เมาในการอับจน เมาในการแก่งแย่งชิงกัน ไม่มีโอกาสที่จะเข้ามาดูใจตัวเอง ไม่มีโอกาสเข้าวัดเข้าวามาหาธรรมะ สังคมมันอยู่แบบนี้

           กุสลาทำเมา กุสลาทำเมานะ มันเมาไปทั้งนั้นเลยนะ มันไม่ไปธัมโมธรรมะเลยนะ คนไม่คิดดูให้ลึกซึ้ง ท่านพูดอย่างนั้นมันถูกต้อง ทำอย่างนั้นมันทำเมานะ ทำอย่างนี้จึงจะธัมโมธรรมะนะ
              แต่ถ้าเวลาอยู่กับพระเราล้วน ๆ เช่น เวลาไปจับเส้นถวายท่านหรืออยู่ส่วนตัว ถ้ามีข้อปฏิบัติไปสนทนากับท่าน ท่านตอบได้ลึกซึ้ง ถ้าเรื่องธรรมะล้วน ๆ นะ แต่ถ้ากับชาวบ้านทั่วไป ท่านก็จะว่า ธัมโมทำเมานะ อตีตาทำเมานะ อนาคตาทำเมานะ ให้เป็นปัจจุบันนะจึงจะธรรมาธรรมะนะ คือถ้าไปคิดไปปลงอยู่แต่อดีตมันก็เมา ถ้าไปเกาะเกี่ยวกับเรื่องอนาคตมันก็เมานะ ต้องให้อยู่กับปัจจุบัน มันจึงจะเป็นธรรมะ คุยง่าย ๆ ของท่าน แต่ความหมายมันกินครอบงำไปเลย
              ผิวพรรณของท่านผ่องใสมาก ตาของท่านใสแจ๋ว ไม่มีขุ่นไม่มีมัวเลย ท่านเย็นเงียบ ๆ นิ่ง ๆ เรียบร้อย ไม่หลงสติ ท่านบอกได้หมดเลยว่า วันไหน เดือนไหน ค่ำไหน ไปธุดงค์อยู่ตรงไหนบ้าง ท่านบอกได้เป๊ะ ๆ แต่ท่านจะบอกเป็นค่ำกับเดือนไทย
อาตมาจะจำพรรษาที่ระยอง พอออกพรรษาก็กลับขึ้นไปเชียงใหม่ วนเวียนอยู่กับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ดอยเชียงดาว ถ้ำผาปล่อง นี่แหละ และธุดงค์อยู่ตรงนั้นตรงนี้บ้าง

อ.วรวิทย์ แล้วโยมพ่อโยมแม่ว่าอย่างไรบ้างที่บวชนาน
พระอาจารย์สุธรรม
             ตอนนั้นไม่ถูกกับทางบ้านเลย และก็ไม่เคยใกล้บ้านเลย เพราะญาติพี่น้องไม่มีใครเห็นด้วยในการบวช เขาต้องการให้บวชสักพักแล้วออกไปทำการค้าทำงานทางบ้าน เพราะอาตมาเป็นพี่ชายคนโตภาระในบ้านงานการในบ้านเราต้องเป็นผู้ดูแลอยู่แล้ว

อ.วรวิทย์ พระอาจารย์เรียนทางโลกจบชั้นไหนครับ
พระอาจารย์สุธรรม จบชั้น ม.ศ.๓ และเรียนภาษาจีน อยู่ ๔-๕ ปี เพื่อทำการค้าขาย

อ.วรวิทย์ บวชแล้วก็ไปอยู่กับหลวงปู่แหวน หลวงปู่สิม
พระอาจารย์สุธรรม ก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างระยองกับเชียงใหม่ พอออกพรรษาก็ไปเชียงใหม่ เข้าพรรษาก็มาจำพรรษาที่ระยอง ๔ ปี ติดต่อกัน เพื่อเรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท จนจบนักธรรมเอก ก็ไม่ได้กลับระยองอีกเลยตั้งแต่ปี ๒๕๑๗

อ.วรวิทย์ พรรษาที่ ๑-๔ (พ.ศ.๒๕๑๓-๒๕๑๖) อยู่ระยอง แล้วพรรษาที่ ๕ อยู่ไหนครับ
พระอาจารย์สุธรรม
            พรรษาที่ ๕ (พ.ศ.๒๕๑๗) ไปอยู่กับ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ดอยเชียงดาว ที่ถ้ำผาปล่อง  สมัยก่อนบันไดทางขึ้น อาตมาก็แบกปูนขึ้นไปเทปูน ก่อนนั้นเป็นดิน หน้าฝน เดินลงไปลื่นล้ม คนไปทาง บาตรไปทาง ไปบิณฑบาตบ้านถ้ำมาใช่จะมีอาหารเหลือเฟือนะ พอบาตรหลุดมือปุ๊บ ต้องได้หมู่เพื่อนเฉลี่ยให้กัน ไม่พอฉันจริง ๆ นะ
            อาหารหลักของพระ คือ มะละกอกับกล้วยสุกในวัด ปีแรก ๆ ที่ไปอยู่ไม่มีใครรู้จักวัด ไม่มีใครมาใส่บาตร มาดังทีหลังหรอก พวกทำพระเครื่องมาโฆษณาเรื่องอภินิหาร แต่อาตมาก็ไม่เห็นว่าจะมีอภินิหารอะไร ขายดิบขายดี คนก็เริ่มมา คนเริ่มพลุกพล่าน ส่วนไฟฟ้ามีใช้เพราะมีหมอบริจาคเครื่องไฟให้

          เหมือนตอนไปอยู่กับหลวงปู่แหวนใหม่ ๆ (ปี พ.ศ.๒๕๑๓) วัน ๆ ไม่ค่อยได้เห็นคนนะ ก็มีแต่เด็กชาวบ้าน ๒-๓ คน ขึ้นมาช่วยกวาดใบไม้ ถ้าไม่ได้ไปบิณฑบาตก็ไม่เห็นคน มาทีหลังคนเริ่มหลั่งไหลเข้าไปก็เพราะทหารอากาศ ไปทำเหรียญรุ่น ๓ ส่วนรุ่น ๑ และรุ่น ๒ หมอ(จำชื่อไม่ได้)ที่กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ทำ รุ่นละ ๕,๐๐๐ เหรียญ รุ่น ๑ และรุ่น ๒ เหมือนกัน ต่างกันที่ตัวหนังสือ รุ่น ๑ ตัวหนังสือแนวตั้ง รุ่น ๒ ตัวหนังสือแนวนอน จำหน่ายเหรียญละ ๑๐-๒๐ บาท เพื่อหาเงินมาสร้างถังน้ำและอื่น ๆ ในวัด แม้ผลิตน้อยใช่ว่าจะจำหน่ายง่าย ๆ อาตมาและเพื่อน ๆ ได้มา ๖-๗ เหรียญ รุ่น ๑ อาตมาได้ ๕ เหรียญ รุ่น ๒ อาตมาได้ ๗ เหรียญ พอเหรียญรุ่นที่ ๓ ทหารอากาศได้โฆษณาว่าหลวงปู่นั่งบนอากาศ นั่งบนเครื่องบิน อะไรต่ออะไรไป ผู้คนจึงหลั่งไหลเข้ามาหาเหรียญกันอึกทึกเลย

              ภายหลังรู้สึกว่าหลวงปู่มีคนมาพบมากขึ้น ๆ ปกติท่านจะเดินจงกรมที่ทางเดินจงกรมหน้ากุฏิเป็นประจำ บางคืนท่านเดินทั้งคืน เมื่อคนคึกคักจึงเดินจงกรมไม่ได้ อาตมาก็ปรึกษากับพระครูชินเทศ พระครูชม และพระครูปัญญา ว่าเราน่าจะทำทางเดินจงกรมให้หลวงปู่แหวนใหม่ แต่ไม่มีเงิน จึงลงขันออกเหรียญที่มีอยู่รุ่น ๑ องค์ละเหรียญ รวม ๔ เหรียญ ให้หมอไปจำหน่ายได้เหรียญละ ๕,๐๐๐ บาท (จากเหรียญละ ๑๐-๒๐ บาท) รวมเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท นำไปซื้อบ้านเก่าไม้สัก รื้อมาทำทางเดินจงกรมให้หลวงปู่แหวนที่ยื่นออกไปตรงด้านข้างฝาผนัง

             ปี ๒๕๑๗ จำพรรษาอยู่ที่ดอยเชียวดาวกับหลวงปู่สิม ตอนนี้เป็นยุคที่คนมันหลั่งไหลขึ้นไปแล้ว เป็นยุคที่คนมากมายก่ายกอง เป็นยุคที่คนตื่นเต้นเรื่องเหรียญกันแล้ว เหมือนตอนที่ไปจำพรรษากับหลวงปู่แหวนใหม่ ๆ เมื่อปี ๒๕๑๓ ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้จักหรอก เงียบสนิท จากตลาดต้นลำไยที่เชียงใหม่ ไปถึงดอยแม่ปั๋งที่เชียงใหม่ ต้องออกแต่เช้ามืด ต้องวานเด็กกระเป๋ารถไปซื้ออาหารเช้าไปฉันระหว่างทาง กว่าจะถึงดอยแม่ปั๋งก็เกือบค่ำ เส้นทางเหมือนโลกพระจันทร์ เป็นหลุมเป็นบ่อ บางครั้งรถติดหล่ม สารพัด ทุรกันดารมาก

             พอปี พ.ศ.๒๕๑๗ ผู้คนคึกคักหลั่งไหลเหมือนมีงานวัดทุกวัน หลวงปู่แหวนท่านว่า เขามาเอาทำเมานะ ไม่มีใครมาเอาธัมโมธรรมะนะ เราอยู่สู้เขาเราก็ตายเปล่านะ ถ้าเขามาเอาธัมโมธรรมะ เราก็ยังสู้เขาได้ ถ้าหลวงปู่ยังมีกำลังมีแรงอยู่ไม่มาเป็นแมลงวันหัวเขียวตอมอยู่อย่างนี้หรอก อาตมาก็มาคิดว่า เราไปเพื่อมุ่งหน้าในการปฏิบัติจริง ๆ ทางภาคเหนือจึงไม่เหมาะ เพราะภาคเหนือคนเที่ยวไม่เหมาะไม่ส่งเสริมในการทำความเพียรได้ ก็เลยมุ่งหน้ามาภาคอิสาน แต่ภาคอิสานเคยขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๓ แล้ว มาดู ๆ ผ่าน ๆ ไป
           
           พอปี พ.ศ.๒๕๑๘ พรรษาที่ ๖ ก็มุ่งหน้ามาหาหลวงปู่ฝั้น อาจาโร พอใกล้เข้าพรรษา หลวงปู่ลงมาอยู่ที่วัดล่าง(วัดป่าอุดมสมพร ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร) อาตมาจะตามมาที่วัดป่าอุดมสมพร แต่มีคนมากพระมาก จึงจำพรรษาที่ ถ้ำขาม อยู่กับหลวงปู่เขี้ยม พอออกพรรษาสักระยะ ก็ออกธุดงค์เที่ยววิเวกและได้ไปจำพรรษาอยู่กับ ท่านอาจารย์ใหญ่สิงห์ทอง ธมฺมวโร วัดป่าแก้วชุมพล ที่อำเภอสว่างแดนดิน ๓ พรรษา พรรษาที่ ๗-๘-๙ ปี พ.ศ.๒๕๑๙-๒๕๒๑

                พอปี พ.ศ.๒๕๒๒-๒๕๒๓ พรรษาที่ ๑๐-๑๑ มาจำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี กับหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

อ.วรวิทย์ ๒ พรรษา ที่วัดป่าบ้านตาด ประทับใจหลวงตามหาบัวอย่างไรบ้างครับ
พระอาจารย์สุธรรม
            มากมายก่ายกองพูดไม่จบหรอก การอยู่กับท่านต้องมีความละเอียด มีความรอบคอบ ถ้าเราอยู่กับหลวงตามหาบัวแล้วเอาแบบฉบับของท่านมา ๕๐% นะ เราอยู่ที่ไหนสบายทั่วประเทศไทย ได้แค่ ๕๐% เราจะเป็นแบบอย่างให้กับสังคมให้กับโลกได้เป็นอย่างดี อาตมาถอดแบบท่านมาได้ ๑๐-๒๐% เท่านั้น

อ.วรวิทย์ เพราะเหตุใดทำให้ท่านพระอาจารย์ได้มาอยู่ที่วัดป่าหนองไผ่ครับ
พระอาจารย์สุธรรม
             สืบเนื่องจากพระรุ่นเดียวกับพระอาจารย์ทองฮวดท่านเคยอยู่ที่เชียงใหม่ แล้วท่านมาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด ปี พ.ศ.๒๕๒๒ ท่านได้ออกธุดงค์มาพบสถานที่แห่งนี้ ท่านจึงจำพรรษาอยู่ที่นี่บริเวณป่าช้า และปี พ.ศ.๒๕๒๓ ท่านก็กลับมาจำพรรษาที่นี่อีกที่ถ้ำ พอออกพรรษาท่านและพระรูปอื่นอีกประมาณ ๗ รูป ได้แก่ อาจารย์ทองฮวด อาจารย์ปิ่น ท่านเดช เณรจ่อยและอื่น ๆ ไปเที่ยวธุดงค์มาถึงกิ่งอำเภอดงหลวงซึ่งมีกองทัพพวกสหายตั้งอยู่ จึงถูกกองทัพสหายจับตัวไป ต่อมาได้ปล่อยตัวมา ๕ รูป ยึดไว้ ๒ รูป คือ อาจารย์ทองฮวด และอาจารย์ปิ่น ต่อมาทราบข่าวว่าทั้ง ๒ รูป ได้ถูกฆ่าตายแล้ว เป็นเหตุให้ชาวบ้านชาวเมืองไม่เล่นด้วย ที่เคยส่งเสบียง เขาก็ไม่ให้ ถ้ารู้ว่าพวกสหายอยู่ที่ไหน เขาก็จะแจ้งทางการ ทางการจึงเอาเหตุฆ่าพระมาปลุกมวลชนต่อต้านพวกสหาย ทำให้พวกสหายล้มละลายหายไปจากภาคอิสานเพราะฆ่าพระ ๒ รูป

            อาตมาได้ทราบข่าว่าอาจารย์ทองฮวดมรณภาพ จึงคิดว่าวัดป่าหนองไผ่จะเป็นอย่างไร ประกอบกับอาตมาจะออกเที่ยววิเวกอยู่แล้ว จึงไปกราบเรียนหลวงตามหาบัวเพื่อออกวิเวก อาตมาจึงแวะมาดู พบว่าป่าก็ดี และไม่มีสิ่งก่อสร้าง
           
          สมัยอาจารย์ฮวดอยู่ ท่านอยู่ที่ถ้ำ ส่วนเณรที่ติดตาม ๒-๓ รูป ปลูกกระต๊อบเล็ก ๆ ให้อยู่ และรื้อศาลาตั้งศพเก่า ๆ มาเป็นศาลาฉันอาหาร ชาวบ้านเขาดูแลป่าดูแลพระดี และคิดว่าต่อไปสถานที่วิเวกของพระจะน้อยลงไปเรื่อย ๆ สถานที่ไหนวิเวกดี และชาวบ้านดี ก็น่าจะรักษาเอาไว้ ก็คิดว่าจะรักษาสถานที่แห่งนี้ไว้ จึงกลับไปปรึกษาหมู่เพื่อน ครูบาอาจารย์ ใคร ๆ ก็ว่าน่าจะรักษาไว้
         
           ผลที่สุดก็ตกลงกันว่าให้อาตมามารักษา ครั้งแรกไม่ได้ตั้งใจมาอยู่นะ คิดว่ามาเพื่อภาวนา ก็ไปกราบเรียนหลวงตามหาบัวว่า เกล้ากระผมจะหาโอกาสทำความเพียรที่วัดป่าหนองไผ่สักระยะหนึ่ง ถ้าเกล้ากระผมไปแล้วขัดข้องในการปฏิบัติธรรม มีความสงสัยในธรรม หรือไม่สะดวกในการอยู่ในการทำความเพียรก็จะกลับมาที่วัดป่าบ้านตาด ท่านก็อนุญาต อาตมาก็ออกมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๔ พรรษาที่ ๑๒ จนถึงปัจจุบัน เกือบ ๓๐ ปีแล้ว

              อาตมาออกจากวัดป่าบ้านตาด มาอยู่ที่วัดป่าหนองไผ่ วันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๔ มาอยู่ระยะหนึ่งแล้วกลับไปวัดป่าบ้านตาด จนใกล้เข้าพรรษาจึงกลับมาจำพรรษาที่วัดป่าหนองไผ่ในถ้ำองค์เดียว จะบิณฑบาตในหมู่บ้าน ต้องข้ามลำห้วยหน้าวัด จึงตัดต้นไม้ล้มพาดเป็นสะพานข้าม พอหน้าน้ำก็พัดสะพานไป ก็ตามไปเก็บซากมา แล้วก็โค่นต้นไม้ลงมาอีก ริมลำห้วยต้นไม้เยอะมาก จึงตัดต้นไม้ที่ตรง ๆ หน่อยพาดเป็นสะพาน และให้รถวิ่งข้ามได้ด้วย มีชาวบ้านช่วยกัน บางทีออกไปบิณฑบาตกลับเข้าวัดไม่ได้ก็มี หรือออกไปบิณฑบาตไม่ได้ก็มี น้ำท่วม ฝนมาน้ำป่ามา สมัยก่อนไม่ได้กั้นลำห้วย สะพานก็ใช้ไม้ธรรมชาตินี่แหละ

           ต่อมาคนนั้นมาทำไอ้นี่ คนนี้มาทำไอ้นั่น ต่อไปเรื่อย ๆ จนเป็นวัดเป็นวาขึ้นมา
สิ่งปลูกสร้างจะมีโยมมาทำถวาย อยากทำก็ทำไป ถ้าพระไปยุ่งจะเป็นภาระเป็นกังวล ยุ่งเหยิงวุ่นวายภายในจิตในใจ เลยไม่ได้ภาวนาเป็นกังวล  ครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่มาที่นี่ ท่านว่าที่นี่เป็นมงคลดี พอได้มาสัมผัสปุ๊บ จะเย็น จะสะดุดใจ

อ.วรวิทย์ ทุกวันนี้ญาติโยมจะสมัครใจมาก็มา มีสถานที่พักให้อยู่ และมีไหมครับว่าที่พักเต็ม
พระอาจารย์สุธรรม
             ใช่ ปีนี้ก็ล้น ต้องปฏิเสธไปหลายราย แม้แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่คนรู้จักทั่วประเทศมาขอพัก ยังรับไม่ได้เลย
             เมื่อมาพักมาภาวนา เราต้องการให้ได้รับความสะดวก ได้รับประโยชน์จากการภาวนา เราไม่ต้องการให้มาอยู่ซ้อนกัน ห้องหลายคน จะคุยกันก็จะรบกวนจะเกรงใจกัน เพราะว่าผู้ปฏิบัติธรรมควรจะอยู่โดด ๆ เดี่ยว ๆ ถ้าอยู่ซ้อนกัน (๒ คน) ก็คุยกันแล้ว เสียเวลา จะเพิ่มพูนอารมณ์ หรือบางคนจะนั่งภาวนาอีกคนจะเดินภาวนา ต่างก็เกรงใจกัน รบกวนกัน เหมือนกับพระ หลังละองค์ แต่ถ้ามาอยู่วันสองวันชั่วคราวก็อยู่รวมกันได้ แต่ถ้าจะมาภาวนาก็ไม่ควรอย่างงั้น พอช่วงเข้าพรรษาก็อยากให้ทุกคนได้ทำความเพียรเต็มที่ ได้ประโยชน์กันอย่างสมบูรณ์ จึงรับได้เท่าที่มีที่พักให้นั่นแหละ ไม่ปรารถนาให้มาเกิน พอเต็มแล้วก็แล้วกัน มาซ้อนกัน แทนที่จะได้ประโยชน์ต่างก็ไม่ได้ประโยชน์ ทางวัดก็ไม่ได้ประโยชน์ ผู้มาก็ไม่ได้ประโยชน์

อ.วรวิทย์ เพื่อนสายธรรมที่ไปธุดงค์ด้วยกัน ๔๐ กว่าปี นี้มีรูปไหนบ้างครับ
พระอาจารย์สุธรรม เยอะแยะ พระกรรมฐานนี้จะรู้จักกันหมด เพราะไปด้วยกัน แยกกันไป เยอะไปหมดสายธรรม บอกไม่ได้

อ.วรวิทย์ ทางใต้ได้ลงไปธุดงค์บ้างไหมครับ
พระอาจารย์สุธรรม
             ทางใต้ไปเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๖ มีท่านมหามณฑล เณรเบ๊าและอาตมา รวม ๓ องค์ ไปรอบ เดินไปเลาะตามทางรถไฟ เป็นปีที่จังหวัดนครศรีธรรมราชน้ำท่วมหนัก ส่วนภาคเหนือ เชียงใหม่ก็หนาวจัดจนนกตกลงมาตาย
             ปี พ.ศ.๒๕๑๙ ไปกับพระอาจารย์รอง นั่งรถทัวร์ไปลงที่ภูเก็ต จากนั้นก็เดินธุดงค์ตั้งแต่ภูเก็ต พังงา กระบี่ สงขลา จึงกลับขึ้นมา มีถ้ำเยอะมากโดยเฉพาะพังงา

อ.วรวิทย์ ทางใต้ดูแลพระดีไหมครับ
พระอาจารย์สุธรรม
             ทางใต้จะติดไปในทางชอบหมอดู ชอบหวยมาขอมาเสี่ยงทายมาขอเลขขอเบอร์ ชอบนำของมาถวาย แต่มาหาภาวนามีน้อยมาก
            ทางเหนือมีแต่คนเที่ยว คนเล่น แต่งเนื้อแต่งตัว ที่จะสนใจธรรมะไม่ค่อยมี จึงไม่เหมาะที่นักปฏิบัติธรรมจะอยู่ เหมาะที่สุด คือ ภาคอิสาน เมื่อมาอยู่แล้วไม่คิดจะหนีไปไหน ทั้ง ๆ ที่ทางบ้านอ้อนวอนนิมนต์ให้กลับลงไปอยู่ จะมีผู้บริจาคที่ดินสร้างวัดก็มีเยอะแยะทั้งฝ่ายพระฝ่ายโยม

อ.วรวิทย์ ปัจจุบันพระอาจารย์อายุเท่าไหร่แล้วครับ
พระอาจารย์สุธรรม ปีนี้ อายุจริง ๖๐ ปีพอดี อายุพรรษา ๔๐ พรรษา บวชอายุ ๒๑ ปี เกิดวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๒

อ.วรวิทย์ การปฏิบัติธรรมที่ได้ผลดี เพราะสถานที่สัปปายะ หรือเป็นเพราะนิสัยของบุคคลคนนั้นครับ

พระอาจารย์สุธรรม
            มันก็เกี่ยวเนื่องกัน สถานที่ต้องเป็นสัปปายะ เพราะสถานที่เป็นจุดเบื้องต้นเลยที่จะทำให้จิตเราดูดดื่มต่อการปฏิบัติธรรมหรือไม่ ต้องเลือกสถานที่ บางทีสถานที่ที่ไปภาวนาไม่ได้เรื่องเลย บางที่เราเข้าไปสัมผัสปุ๊บดูดูดดื่มเลยนะ อยากจะนั่งภาวนา อยากเดินจงกรมทั้งวัน จิตนิ่งละเอียดดี มันหนุนกัน

              สองอยู่ที่ความเพียรของเรา อย่าท้อแท้ ถ้าเราตั้งจุดมุ่งหมายว่าเข้ามาเพื่อปฏิบัติธรรม ให้รักษาจุดมุ่งหมายนี้ เราบวชมาเพื่ออะไร ให้รักษาจุดมุ่งหมายอันนี้ไว้ แล้วให้มีความเชื่อมั่นลงไปว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่มีคำว่าโมฆะ ปฏิบัติแล้วไม่ได้อะไรไม่มี แล้วก็ธรรมะของพระพุทธเจ้าเปิดเป็นสาธารณะ ไม่มีใครผูกขาด พระพุทธเจ้าก็ไม่ผูกขาด แต่หวังไว้เป็นสมบัติของผู้ปฏิบัติ ก็เมื่อเราเป็นผู้ปฏิบัติเดินตามร่องรอยของศาสดา ทำไมเราจึงจะไม่ถึงจุดหมายนั้น ตั้งความเชื่อมั่นลงไปแล้วก็ทุ่มเท ลงไป ไม่ต้องไปห่วงหาอาลัยอาวรณ์

              พระพุทธเจ้าท่านเป็นกษัตริย์ มีบริษัทบริวารมากมายก่ายกอง มีทรัพย์สมบัติท่วมฟ้าท่วมแผ่นดิน ท่านออกมาท่านไม่ได้อาลัยอาวรณ์เลย ท่านวางไว้เบื้องหลังหมด แล้วเรามีอะไรมากมายก่ายกองขนาดไหนที่จะไปเทียบกับพระพุทธเจ้า ทำไมเรายังจะมีแต่ความอาลัยอาวรณ์ มีแต่ความห่วงโน่นห่วงนี่ แล้วเราจะไปหาธรรมมาได้อย่างไร พระพุทธเจ้ามีมากกว่าเราตั้งกี่หมื่นกี่แสนเท่า พระองค์ยังไม่มีความอาลัยอาวรณ์ นั่นแหละลักษณะของผู้ที่จะทรงธรรม
          
            ก็เมื่อเราเป็นผู้ปรารถนาธรรม เราจะมาห่วงหาอาลัยอาวรณ์กับอะไร ไม่ว่าจะผู้คน ไม่ว่าจะทรัพย์สิน อะไรต่ออะไรทุกสิ่งทุกอย่าง ปล่อยมันไว้ข้างหลังให้หมด เหลือแต่เดินหน้าอย่างเดียว อย่าหันหลัง เรื่องหลังเป็นเรื่องอดีตแล้ว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นหันหลังให้ ถ้าหากเราหันกลับไป จะมีความอาลัยอาวรณ์ ความผูกพัน ความอาลัยอาวรณ์นี้จะทำให้เราอ้อยอิ่ง อุปทานความยึดมั่นถือมั่น ก็แม้แต่อัตตาตัวกูเรายังต้องวาง แล้วเราจะไม่วางคำว่า ของกูหรือ? ถ้าเราวางของกูไม่ได้ แล้วเราจะวางตัวกูได้อย่างไร จะวางของกูได้ ก็ต้องวางตัวกูได้ เพราะฉะนั้นคำว่าของกูนี่เราต้องวาง ถ้าวางมันไม่ได้แล้วเราจะวางตัวกูได้อย่างไร อัตตาตัวนี้มันหนักยิ่งกว่าสิ่งแวดล้อมมากขนาดไหน

             เพราะฉะนั้นอย่าไปผูกพันอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ บริษัท บริวาร ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง พ่อแม่ จะต้องวางไว้ข้างหลัง นั่นเป็นสมมติอันหนึ่ง เมื่อเราจะมุ่งหน้าปฏิบัติธรรมแล้ว ให้มุ่งหน้าปฏิบัติธรรมไป สิ่งเหล่านั้นจะเกี่ยวเนื่องกันต่อเมื่อมีเหตุตามความจำเป็นตามเหตุตามผลเท่านั้น แต่จิตเราจะถอนอุปทานมามุ่งหน้าอย่างเดียว ถ้าเราตั้งมั่นจิตแน่วแน่แล้วล่ะก็เชื่อเถอะ ธรรมะของพระพุทธเจ้าจะเปิดเผยออกมาให้สัมผัสได้แน่นอน แต่ว่าเราจะเดินไปข้างหน้าก็อ้อยอิ่ง กังวลอาลัยอาวรณ์อยู่ข้างหลัง จะก้าวไปข้างหน้าหรือก็ห่วงข้างหลัง จะถอยหลังก็ห่วงข้างหน้า ไป ๆ มา ๆ เลยอยู่ที่เดิม พอนาน ๆ ไป เลยท้อแท้ ไม่มีความเข้มแข็งอดทน แต่ถ้าเราเดินไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง ปล่อยไว้หลังว่าเป็นเรื่องอดีต นี่เราจะมุ่งหน้า แล้วมุ่งหน้าเดินด้วย เราจะสัมผัสธรรมอย่างแท้จริง พอเราสัมผัสกับธรรมอย่างแท้จริงแล้วเราจะเอาธรรมะมาแจกจ่ายข้างหลังได้อย่างอาจหาญ นั่นแหละพระพุทธเจ้าท่านมุ่งอย่างนั้น

               พระพุทธเจ้าท่านมุ่งหน้าเดินหน้าโดยไม่อาลัยอาวรณ์ข้างหลังเลย เมื่อท่านไขว่คว้าธรรมอย่างสมบูรณ์แล้ว ท่านจึงไปเจือจานเผื่อแผ่ข้างหลัง จะเสด็จกรุงกบิลพรรดิ์ก็ต่อเมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านโปรดได้มากมายก่ายกอง เป็นประโยชน์มากมายก่ายกอง แต่ถ้าท่านจะโปรดเมื่อท่านเป็นเจ้าชายสิทธิทัตถะท่านจะโปรดอะไรได้ขนาดไหน เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่อาลัยอาวรณ์ แล้วพวกเราล่ะจะเดินตามพระศาสดาหรือจะเดินตามใคร ต้องมาคิดพิจารณาดู ถ้าเราเดินตามรอยพระศาสดา แล้วธรรมะยังงัยก็ต้องเปิดเผยแก่เราแน่นอน สิ่งนี้ทำให้เกิดความดูดดื่มต่อการปฏิบัติธรรม ไม่คิดเห็นว่าโลกเรานี้จะวิจิตรพิสดารมากกว่าธรรม

             เพราะฉะนั้นการคิดที่จะยินดีพอใจไปอยู่กับโลกจึงไม่มี เมื่อจิตเข้าไปสัมผัสธรรมแล้ว มีแต่อย่างไรกูจะต้องเป็นเจ้าของธรรมให้ได้ อะไรที่จะเป็นพิษเป็นโทษเป็นภัยที่จะทำให้เราถอยหลัง เราก็จะพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น ถึงแม้ตามหลักจิตปุถุชนจะยินดีพอใจขนาดไหน เราก็พยายามฝืน ถ้าหากไม่ฝืนความเป็นปุถุชน จิตที่เป็นปุถุชนก็จะยินดีไปคลุกเคล้าเรื่องสังคม เรื่องโลก แล้วการคลุกคลีเรื่องสังคม เรื่องโลก มันไม่เป็นเครื่องขัดเกลาเลยนะ หากเราหลงเพลินไปไม่รู้ตัว สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพลินกับสังคม เลยถูกสังคมจูง ไม่ใช่เราจูงสังคมแล้ว ต้องระวังให้ดีสำหรับ นักปฏิบัติธรรม


รูปที่ ๑๗ พระอาจารย์สุธรรม  อาจารย์วรวิทย์ ตงศิริ
ท่านผู้พิพากษาอนุพงษ์  โพร้งประภา


อ.วรวิทย์ สมควรแก่เวลาแล้ว กระผมขอรบกวนพระอาจารย์เพียงเท่านี้ ขอกราบนมัสการลาครับ
พระอาจารย์สุธรรม อยู่ดีมีสุขเด้อ


วันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ เวลา ๑๓.๔๕-๑๕.๐๐ น.
ณ กุฏิพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
วัดป่าหนองไผ่ ต.ดงมะไฟ อ.เมือง จ.สกลนคร

1 ความคิดเห็น:

Sirimaneekorn A กล่าวว่า...

สาธุค่ะ