เวลา ๐๒.๓๐ น. ถึง ๐๓.๐๐ น. นั่งกรรมฐานเหนื่อยแล้วนอนสีหะไสยาส คือนอนตะแคงขวาเอาหมอนหนุนระหว่างซอกแขน เอาฝ่ามือหนุนขมับ ระหว่างนั้นนิมิตว่ามีผู้หญิงนุ่งชุดขาว ๒ คนลุกจากข้างตัวเดินออกไปทางประตูกุฏิ นิมิตแบบนี้อย่าสนใจ ให้พิจารณาว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รูปนี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ซักครู่หนึ่ง แล้วก็ดับไป เป็นของไม่เที่ยงแท้ถาวร อย่าหลงยึดเป็นตัวตนอัตตา ว่าฉันเก่งหรือเป็นมนุษย์วิเศษวิโสใด ขอให้จิตมีสติพิจารณาแบบนี้ และตั้งวิปัสสนาญาณตรงต่อพุทโธต่อไป
เวลา ๐๔.๓๐ น. ลุกนั่งกรรมฐานต่อ เจริญธาตุตามที่หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ สอนไว้ การเจริญธาตุก็เป็นสมถะกรรมฐานให้จิตสงบได้เช่นกัน หากเกิดฌาณสมาบัติพิเศษขึ้นมาก็ถือว่าเป็นวาสนาแต่ละบุคคล
เวลา ๐๕.๒๐ น. ลงไปเดินจงกรมตามป่าแบบสบาย ๆ พร้อมถือกล้องถ่ายรูปไปด้วยเพื่อถ่ายภาพกระรอก กระแต นกหนู ตามป่า ในป่านี้ดูเหมือนจะเป็นดงกระรอก เพราะส่งเสียงและโชว์ลีลาเป็นธรรมชาติน่ารักมาก
เวลา ๐๗.๔๕ น.นั่งกรรมฐานที่พื้นหินหลังกุฏิ นิมิตเห็นผู้หญิงนุ่งชุดดำเดินมาถลกกระโปรงหันสะโพกเหลือแต่กางเกงในสีดำบาง ๆ หันหลังมาหา แต่เราไม่สนใจเพราะวิธีแก้นิมิตที่มาหลอกลวงเรื่องกามฉันทะนั้น ก็เหมือนกับนิมิตอื่น คือ ให้มีสติพิจารณารูปนิมิตที่เกิดขึ้นว่า เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รูปมีขึ้น รูปตั้งอยู่ แล้วรูปก็ดับไป ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ซักอย่างในโลกนี้ พิจารณาอย่างนี้เสร็จแล้วนั่งเข้าฌานหลับไปจนถึงเวลา ๐๘.๑๕ น. ขาเป็นเหน็บเลยพักด้วยการเอนหลังลงไปที่พื้นให้เลือดลมวิ่งไหล ขณะที่กำลังเอนหลังลงนอนนี้ แวบหนึ่งเห็นพระสงฆ์ตัวใหญ่หัวล้านเถิก นุ่งผ้าเหลืองไม่ห่มจีวร นั่งฉันภัตราหารอยู่ ได้สบตาท่านหน่อยหนึ่ง ก็ให้พิจารณาแก้นิมิตนี้ว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่านึกว่าตนเองเป็นคนวิเศษ เหลือบตาไปดูที่ต้นไม้หน้ากุฎิเห็นตุ๊กแกโผล่หัวออกมาจากโพลงไม้ เลยถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน
(หมายเหตุ นิวรณ์ คือสิ่งที่ขวางกั้นจิตทำให้สมาธิไม่อาจเกิดขึ้นได้ มี ๕ อย่าง ได้แก่ ๑.กามฉันทะ คือความพอใจในกามคุณอารมณ์ ๒.พยาปาทะ คือ ความโกรธ ความพยาบาท ๓.ถีนมิทธะ ถีนะคือความหดหู่ท้อถอย และมิทธะคือความง่วงเหงาหาวนอน ๔.อุทธัจจกุกกุจจะ แยกเป็นอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านของจิต และกุกกุจจะคือความรำคาญใจ ๕.วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย นิวรณ์ทั้ง ๕ เป็นอุปสรรคสำคัญในการทำสมาธิ ถ้านิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่ง หรือหลายตัวเกิดขึ้น สมาธิก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย แต่นิวรณ์ทั้ง ๕ นี้ไม่เป็นตัวขวางกั้นวิปัสสนาเลย ทั้งยังเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาอีกด้วย เพราะวิปัสสนานั้นเป็นการเรียนรู้ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่ว่าขณะนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ก็เป็นประโยชน์ให้เรียนรู้ได้เสมอ นิวรณ์ทั้ง ๕ นี้ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของจิตที่เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ ให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจ ของจิตเช่นกัน)
รูปที่ ๒๐ ตุ๊กแกโผล่หัวออกจากโพลงไม้หน้ากุฏิหมายเลข ๓
จิตคำนึงถึงคำร้องเพลงกล่อมเด็กของคุณแม่ยายราศี ตงศิริ (พ.ศ.๒๕๕๒ อายุ ๘๘ ปี) ในยามที่ไกวอู่ผ้าขาวม้าให้ลูกหลานนอน และเป็นคำร้องของผู้ชายชาวอิสานขณะหามสิ่งของเดินลงมาจากเทือกเขาเมื่อเวลากลับจากการหาของป่า หรือเดินทางไกลว่า กับแก้กับโกน ปะโลนหัวออก ตีนกูตอกกับแก้กับโกน (ร้องซ้ำ กลับไปกลับมา ) ซึ่งมีความหมายว่า กับแก้ (ตุ๊กแก) กับโกน (อยู่ในโพลง , โกนหมายถึงโพลง) ปะโลน (โผล่) หัวออก (หัวออกมา) ตีนกูตอก (เท้ากูเตะ) กับแก้กับโกน (ตุ๊กแกในโพลง) เพลงกล่อมเด็กนี้จำเนื้อร้องได้ตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะเห็นคุณแม่ยายราศรีร้องประจำ บุญกุศลที่มาปฎิบัติธรรมคราวนี้ก็ขอมอบให้ คุณพ่อ ตงเค่งเซ็ง ที่เสียชีวิตไปแล้วหากท่านไปเกิดในภพภูมิใดก็ขอให้ได้รับกุศลนี้ หากมีทุกข์ก็ขอให้พ้นทุกข์ หากมีสุขแล้วขอให้สุขยิ่งขึ้นไป และคุณยายราศี ขอจงมีสุขภาพกายแข็งแรงอย่าเจ็บอย่าไข้ สุขภาพใจให้นิ่งสงบยึดมั่นในคำภาวนาทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อเวลาสุดท้ายของชีวิตมาถึงขอให้มีสติเป็นมหาสติทำจิตให้มีสัมปชัญญะให้ตรงดิ่งเข้าสู่พระนิพพานอันเป็นที่หวังด้วยเถิด
กลุ่มรูปที่ ๒๑ คุณพ่อตงเค่งเซ็งและคุณแม่ยายราศี ตงศิริ
เวลา ๐๙.๔๐ น. ไปล้างห้องน้ำ เพราะพระวินัยบอกไว้ว่าให้ดูแลกุฏิวิหาร ห้องน้ำห้องท่าให้สะอาด เป็นการลดอัตตาตัวตนลง จากนั้นเปิดน้ำส้มทิพโก้แท้เป็นอาหารทานครึ่งกล่อง นมกล่องตราวัวแดง พร้อมทานขนม บีบีเบเกอร์รี่ ๑ ชิ้น อย่าทานมากเอาพออยู่ได้จะได้ลดกิเลสตัวเองลงมาก ๆ
รูปที่ ๒๒ อาหารเช้าขนมบีบีเบเกอรี่และนมกล่องเล็ก
ระหว่างเคี้ยวก็ต้องมีสติท่องพุทโธ ๆ ๆ ๆ ตามการขยับของขากรรไกร ทานช้า ๆ อย่ารีบร้อนไม่มีใครแย่งกินหรอก ลิ้นสัมผัสขนมก็ให้มีสติสัมผัสแล้ว ถูกปากแล้ว แซบนัวอร่อยก็ให้มีสติรู้เท่าทันว่า รสชาดเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สติต้องกำกับว่า เมื่อซักครู่ลิ้นยังไม่เจอรส ตอนนี้เจอแล้ว แสดงว่ารสก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ตั้งขึ้นซักครู่หนึ่ง แล้วหายไป ลิ้นตวัดอาหารลงคอก็ให้รู้ว่า กำลังตวัด ระหว่างกลืนลูกกระเดือกขึ้นลง ก็ให้รู้เท่าทัน ฟันบดกันตึก ๆ ก็ให้รู้ด้วย ทานอาหารเสร็จทานน้ำตามขวดหนึ่งแล้วลงไปเดินจงกรมต่อ
เวลา 10.00 น.เดินจมกรมยาวไปเรื่อยขึ้นไปทางเพิงหินหรือถ้ำบนเขา ว่ากันว่า เป็นถ้ำที่หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เคยไปนั่งพักภาวนามาแล้ว มีพระสงฆ์ท่านพักอยู่รูปหนึ่ง ระหว่างทางผ่านลำห้วยใหญ่แต่น้ำแห้งขอดแล้ว ถ้าเป็นหน้าฝนน้ำป่าคงแรงอย่างมาก มีสะพานไม้พาดระหว่างก้อนหินได้ลงไปเดินดูระหว่างก้อนหินใหญ่ ระหว่างเดินได้ท่องพุทโธ ๆ บางครั้งก็ท่องพระคาถาเปิดโลกที่ หลวงปู่บุญมี ฐานิสโร วัดคำพระอุ้ย อำเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด เมตตาสอนให้
รูปที่ ๒๓ หลวงปู่บุญมี ฐานิสโร เมตตาสอนพระคาถาเปิดโลก
บางครั้งก็เจริญอาโปธาตุ ที่หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม เมตตาสอนให้ปฏิบัติ (การเจริญธาตุเป็นการปฎิบัติกรรมฐานตามแนวทางที่สำเร็จลุนสอนไว้ สามารถพิจารณาให้เป็นสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานได้ ผู้สนใจให้เปิดอ่านพระไตรปิฎก หมวดพระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา ซึ่งได้อธิบายไว้อย่างละเอียดมากแล้ว)
รูปที่ ๒๔ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ เมตตาสอนการเจริญธาตุ
ระหว่างกลางธารน้ำแห้ง ได้ยืนแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้กับรุกขเทวา ดวงวิญญาณที่ตกทุกข์ได้ยากทุกดวงจงมีส่วนในกุศลที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญภาวนามาตลอดที่อยู่วัดป่าหนองไผ่นี้ด้วยเถิด
รูปที่ ๒๕ ธารน้ำแห้งไปถ้ำหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
เวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. เดินจงกรมกลับมาล้างหน้าตาตรงห้องน้ำด้านหลังศาลาโรงฉัน โต๊ะด้านหน้าที่พักโยมมีผู้เตรียมอาหารไว้ให้จำนวน 3 ถาดและมีก๊วยเตี๋ยวลาดหน้าเส้นใหญ่อีก ๔ – ๕ จาน ในถาดอาหารนั้น มีอาหารปะปนกันออกมามากมายหลายอย่าง ยกออกมานั่งวางพิจารณาพร้อมกับแผ่อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าของอาหารที่นำมาถวายพระแล้วเผื่อแผ่มาถึงเราด้วย ขอให้เจ้าของอาหารทุกท่านอยู่เย็นเป็นสุข เป็นการทดแทนพระคุณทุกท่านที่นำอาหารมาถวายให้พระสงฆ์ได้ขบฉันเป็นการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา เราได้รับประทานต่อก็เป็นบุญกุศลทั้งนั้น แม้อาหารนี้ล่วงไปถึงมด สัตว์ ตัวแดงแมงตัวน้อย เจ้าของอาหารก็ได้บุญกุศลอีกหลายทอด
หลังจากแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของอาหารแล้ว ก่อนจะรับประทานจะต้องพิจารณาอาหารให้เป็นกรรมฐานคือ อาหาเรปฎิกูลสัญญา หมายถึงความสกปรกเป็นปฏิกูล ไม่ใช่ของประณีตบรรจงสวยงามเหมือนที่เขาประดิตประดอยมาให้เรา พิจารณาว่ามันเหมือนของบูดเน่า มีหนอนไต่กินอาหารนั้นอยู่ เราจะกินอาหารนั้นเพื่อความอยู่รอด พอประทังชีวิตไปได้เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อความอร่อยลิ้น เพื่อตัดความอยากในรสชาติอาหาร ตาเห็นอาหารหลากหลายอย่างและหลากหลายสีสัน มะละกอสุกสีส้มอมชมพู ปลาเก๋าลวกบวกลูกชิ้นปลากรายราดพริกแนมเคียงข้างด้วยฝอยแครอทเป็นสีขาวราดพริกสีเหลือง ขนมเค้กครีมสีน้ำตาลเข้ม หมูปิ้ง กุนเชียง และอื่น ๆ หลากหลายสี แอบเปิ้ลสีขาวขุ่น เราต้องมีสติบอกให้จิตประหวัดไปว่า ตาเห็นรูป เหล่านี้เป็นของไม่เที่ยง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อาหารมีขึ้นมาแล้วอยู่ตรงหน้า เราไม่เรียกอาหารแต่เรียกว่าสิ่งนี้เป็นของไม่เที่ยงแท้ ไม่ใช่ของจริงโดยปรมัติ ปล่อยไว้ไม่นานก็บูดเน่า เป็นของที่จะทำให้เกิดทุกข์ และเป็นของไม่มีตัวตนกินเข้าไปไม่นานก็จะกลายเป็นอุจจาระเหม็นเน่าทุกอย่าง และทุกคน
มือเอื้อมไปหยิบอาหารเหล่านั้น จิตกำหนดดูการเคลื่อนไหวไปมา พออาหารเข้าปากลิ้นรับรส จิตประหวัดไปว่า รสชาติอาหารเป็นอย่างนี้ อร่อย เผ็ด เค็ม หวาน จิตต้องพิจารณาว่า มันไม่เที่ยง เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นกัน
ระหว่างขยับขากรรไกรขึ้นลง จิตต้องพิจารณาการเคลื่อนไหวของขากรรไกรไปด้วย อาจขยับพุท ขยับโธ ตลอดต่อเนื่องกันไป ลิ้นกวาดอาหารลงคอ และลูกกระเดือกขยับขึ้นลงก็ต้องพิจารณาพุทเช่นเดียวกันติดตามไปเสมอ ๆ หากจะให้ดีมากกว่านี้ต้องพิจารณาดูอาหารหลังจากเคี้ยวแล้วไหลลื่นผ่านลงไปในลำคอตกไปที่กระเพาะอาหาร ลำไส้และแผ่ซ่านไปตามเส้นเลือดทั่วร่างกาย จะรู้สึกว่าอาหารที่บดแล้วในปากก็ไม่น่ากินเท่าไร ดูเละๆ ภาษาอิสานว่า คือฮากหมา หรือเหมือนอ้วกหมา ถ้าให้เจ้าตัวบ้วนออกมาแล้วให้ทานกลับเข้าปากไปใหม่ คิดว่าคงไม่มีใครชอบ อย่างนี้หรือเปล่าหนอที่เรียกว่า ปฏิกูลบำรุงปฏิกูล เพราะร่างกายก็เป็นอสุภะปฏิกูลเหมือนกัน ความอร่อยรสชาติอาหารก็เป็นปฏิกูลน่าขยะแขยง ไม่เที่ยงแท้เช่นกัน
สรุปว่าอาหารคำเดียวเกิดการภาวนาพิจารณาวงรอบของสติให้เป็นมหาสติ เริ่มตั้งแต่ตาเห็นรูปอาหารก็ให้มีสติพิจารณาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ลิ้นรับรสก็ให้มีสติพิจารณาในรสว่า รสก็ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จมูกได้กลิ่นอาหาร ก็ให้มีสติพิจารณาว่า กลิ่นก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มือขยับเอื้อมจับอาหาร ขยับยื่นเข้าปาก ขากรรไกรขยับบดเคี้ยวขึ้นลง ลิ้นกวาดอาหารเข้าปากกลืนลงคอ ก็เป็นกายคยาสติ เมื่อซักครู่นี้ยังไม่ขยับ บัดนี้ขยับแล้ว และหยุดแล้ว การเคลื่อนไหวร่างกายก็ไม่เที่ยง เมื่อมีสติติดตามเป็นการดูการเคลื่อนไหว เป็นสมถะกรรมฐาน หากพิจารณาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เป็นวิปัสสนาญาณ หากตาพอใจรูปอาหารสวย ลิ้นพอใจรสอาหารอร่อย จมูกพอใจกลิ่นอาหารหอมหวน ก็กลายเป็นสุขเวทนา ไม่พอใจก็เป็นทุกข์เวทนา อยู่เฉย ๆกลาง ๆ ก็เป็นอุเบกขาเวทนา สุขเวทนาสร้างความพอใจเป็นสุข ทุกข์เวทนาสร้างความไม่พอใจเป็นทุกข์ เมื่อขาดสติชีวิตก็หมุนสลับเป็นสุขและทุกข์ตลอดเวลา สุขและทุกข์คละเคล้ากันเข้าไปในขณะจิตนั้นหลายทางหลายอย่างหลายประตู เหล่านี้ต้องอาศัยสติอันเป็นมหาสติและปัญญาอันเป็นมหาปัญญามาพิจารณาซึ่งคงเป็นผลส่งมาจากการเดินจงกรมและภาวนาเมื่อคืน
หลังทานอาหารเสร็จแล้ว ชงชามาดื่ม ๒ แก้วและนั่งภาวนาในเก้าอี้อีกจนถึงเวลาเที่ยงตรง ป้าน้อยมาถามเรื่องถาดสแตนเลสว่าเป็นของใครไม่มีเจ้าของมารับ เดินขึ้นไปกุฏิเวลา ๑๒.๐๐ น. ได้เห็นได้ยินกระรอกขาวดำ คู่นั้นหยอกล้อกันดังก้องป่าพร้อมสะบัดพลิ้วพวงหางอวดกันพับ ๆ ๆ ๆ
เวลา ๑๒.๓๐ น.นอนพักผ่อนท่องพุทโธไปเรื่อย ๆ นิมิตว่ามีผู้หญิงกางเกงเสื้อดำโดดไปที่ก้อนหินหน้ากุฏิแล้ววิ่งไปตามถนนลงไปข้างล่างและมีผู้หญิงนุ่งชุดขาวกระชากคอเสื้อตัวเองลงมาให้ดู นิมิตแบบนี้เป็นนิวรธ์ธรรมแบบหนึ่งเรียกว่ากามฉันทะ อย่าหลงให้พิจารณา เป็นรูป เมื่อมีขึ้น ตั้งอยู่ซักครู่หนึ่ง แล้วก็จะหายไปเองอย่าหลงยึดติด ให้พิจารณาให้เป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เสมอ อย่าได้หนีจากหลักนี้ จากนั้นนอนหลับไป
เวลา ๑๓.๕๐ น.ลงไปเก็บของและฟังเทศนาที่กุฏิพระอาจารย์สุธรรม เนื่องจากมีโยมมาจากจังหวัดอุดรธานี มากราบสนทนาฟังธรรม ท่านอธิบายธรรมะว่า
“ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อความศรัทธา ถ้าไม่ศรัทธาต่อการบำเพ็ญภาวนาแล้ว จะแตกเป็นหมู่เหล่า มีพระดูหลวงปู่ฝั้นเห็นท่านจับโน่นฉวยนี่ เลยจับบ้าง แต่ไม่ดูมือของตนว่ามีบาดแผลหรือไม่
ต่อไปวัดป่าจะเหมือนวัดบ้าน แต่อะไรก็ตาม ต้องวัดจุดมุ่งหมายของตนเอง มีสติเตือนตนตลอดเวลา อย่าหลงตนเอง จนเกิดทิฐิมานะ อย่าดื้อรั้นดันทุรัง เราก็ได้แต่วิตกวิจารณ์ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
ต้องมีศรัทธาต่อตนเอง ไม่อย่างงั้นใครจะมาศรัทธาเรา ตัวเราต้องศรัทธาตัวเราได้ ต่อหมู่คณะได้ และหากศรัทธาต่อตนเองไม่ได้ ใครจะมาศรัทธาต่อเรา ผู้มุ่งมั่นศรัทธาแสวงธรรมไม่มีเสื่อม
การบวชทุกวันนี้ต่างจากรุ่นอาตมา ต้องบวชเป็นผ้าขาวก่อนไม่รู้ว่าจะได้บวชวันไหน ตีหนึ่ง ตีสอง ยังเรียกมาท่องให้ฟัง ทุกวันนี้หากบวชเหมือนเมื่อก่อนคงไม่มีใครบวชแน่ ๆ เพราะอย่างน้อยต้องท่อง นวโกวาทให้ได้ก่อน การสวดมนต์ก็ยังไม่พร้อมกัน พระบวชใหม่จะมีความเพียรขนาดไหน ต้องเหนื่อยกับมัน ตี ๔ ต้องลุกมาไหว้พระสวดมนต์ภาวนา ยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่ออรรถเพื่อธรรมของเขา ต้องพาไหว้พระภาวนา ธรรมะไม่ทำให้ใครเสื่อมเสียตกต่ำ มีแต่จะชูขึ้น จึงขอให้ทุกท่านมีความพากเพียรในศีลธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่เป็นนิจ”
หลังจากฟังธรรมะจากท่านพระอาจารย์สุธรรมแล้วได้เดินทางกลับมาทำธุระที่วิทยาลัยและกลับไปเตรียมตัวที่บ้านบ้านรุ่งพัฒนา
เวลา ๒๑.๐๐ น. มาถึงวัดป่าหนองไผ่เก็บของไว้ที่กุฏิต้มน้ำร้อนเพื่อชงชากาแฟ
เวลา ๒๒.๓๐ น.ลงไปเดินจงกรม นั่งสมาธิที่ข้างกองไฟ จนถึงเวลา ๒๓.๔๕ น.จึงได้ขึ้นไปนอนพักผ่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น