เวลา ๐๒.๓๐ น. ลุกขึ้นมานั่งกรรมฐานต่อไม่นานนักดูจะนั่งหลับมากกว่า รู้สึกปวดหลังปวดขาเป็นเหน็บ จึงล้มตัวลงนอน มือก็ควานหาไม้ขีดไฟจุดเทียน ๑ แท่ง พอให้มีแสงสว่าง หลับคราวนี้ฝันไปว่ามีผู้สาวสวยมาหา ทำอาการกระตุ้นต่อว่ายั่วยวนอยู่ที่บ้านในสกลนคร ในฝันนั้นว่าคุณหมอสมคิด ปิยธรรมวุฒิกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรักษ์สกล พาเจ้าหน้าที่มาจัดกีฬาและเอาการ์ดมาเชิญไปร่วมงาน ฝันแบบนี้สงสัยจะมีผู้มาทดสอบลองใจให้หลงไปตามกิเลสกามราคะ อย่างนี้แหละที่ผู้บำเพ็ญภาวนาผ่านยากที่สุด ถ้าไม่ใช้การพิจารณาอสุภะกรรมฐานแยกร่างกายให้เป็นธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ และสิ่งปฏิกูลเป็นไตรลักษณ์และเกิดจิตสอนจิตจนถ่ายถอนกิเลสตัณหา แม้กระทั่งรากได้ จึงจะหลุดพ้นแต่ก็ยากแสนยาก พูดเฉย ๆ ไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้ผลใดๆ
เวลา ๐๔.๐๐ น. ลุกมานั่งกรรมฐานต่ออีก ๑ ชั่วโมงไม่แน่ใจว่าถึงหรือเปล่า ล้มตัวลงนอนอีก คราวนี้ฝันว่าผู้สาวเก่ามาต่อว่า คราวนี้มาแรงหล่อนแก้ผ้ามานั่งคุยด้วยเลย ผิวยังขาวอวบอั๋น ปากก็ต่อว่าต่อขานว่าทิ้งหล่อนไป เราต้องมีสติพิจารณาว่า รูปนิมิตนี้เป็นนิวรณ์กามฉันทะ ต้องพิจารณาให้เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่ายึดมั่นว่าเป็นของจริงจัง มันเป็นอดีตผ่านมาแล้ว แก้ไขไม่ได้ อนาคตยังมาไม่ถึงอย่าไปคิดมัน ให้จดจ่ออยู่กับคำภาวนา พุทโธ ๆ ๆ ๆ นิมิตแบบนี้แหละเป็นเครื่องทดสอบกำลังใจดีนัก การปฎิบัติธรรมต้องเจอมารผจญตลอดเวลา หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัญโณ ท่านจึงกล่าวธรรมะไว้หลายครั้งหลายคราหลายสถานที่ว่า ไม่มีงานอะไรที่ยากเย็นที่สุดเท่ากับงานไถ่ถอนกิเลส
เวลา ๐๕.๓๐ น.ตกใจสดุ้งตื่นขึ้นมา คราวนี้ไม่ง่วงนอนแล้ว นั่งกรรมฐานต่อท่อง พุทโธ ๑ พุทโธ ๒ พุทโธ ๓.........พอถึงพุทโธ ๑๗...๑๘ อ้าว!!! เกิดหลงสติ ต้องตั้งต้นใหม่คราวนี้นับไปถึงพุทโธ ๕๐..... ก็หลงอีกต้องตั้งต้นพุทโธ ๑ ใหม่ คราวนี้ถึง พุทโธ ๘๐ .....ก็หลงสติอีก เริ่มต้นพุทโธ ๑ ใหม่ไปจนถึง พุทโธ ๙๐ ในนิมิตแวบหนึ่งเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งนั่งอยู่ ใส่แว่นตา มือถือไม้เท้ากลมเหมือนตะพดทำด้วยเงิน อธิษฐานกราบท่าน ๓ ครั้ง ขอมอบกายถวายชีวิตเป็นลูกศิษย์ท่าน แล้วเห็นคนถือกระบี่เป็นคนจีนผมยาวมัดมวยผมยืนบนก้อนหินใหญ่ สายลมพัดผ้ามัดผมและผมยาวสลวยของท่านปลิวไสว ท่านยกกระบี่ชี้ไปข้างหน้าท่าทางสง่างามน่าเกรงขามมาก รู้ในสภาวะจิตขณะนั้นว่า ท่านเป็นหนึ่งในอาจารย์โป้ยเซียน นามท่านคือ ลื่อท่งปิน นิมิตแบบนี้เป็นนิมิตที่ดี แต่อย่าหลง เพราะต้องมีสติพิจารณาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เสมอ หลังจากนั้นเก็บของออกมานอกกุฏิเพราะมีพระวินัยว่า ต้องเก็บเครื่องนอนหมอนมุ้ง (เสนาสนะ ปฏิเสวามิ) ให้เรียบร้อย
เวลา ๐๖.๓๐ น.ออกมามานั่งนอกกุฏิตรงพื้นหิน ฟังเสียงกระรอกส่งเสียงกระโดดไปมา หมู่นกก็ร้องเสียงเจื้อยแจ้ว พระอาทิตย์เริ่มสาดแสงตามยอดไม้ราวป่า อากาศหนาวเย็น แต่ป่านี้กลับสงบสงัดไร้สายลมพาพัด ป่านี้ดูเหมือนจะเป็นดงกระรอก ส่งเสียงเจี๊ยก ๆๆๆ จ๊กๆๆๆๆๆ จิ๊กจ๊ก ๆๆๆ เสียงลึกๆ โต้ตอบกันดังก้องราวป่าน่าชมมาก
ต้องกราบขอบพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกท่านที่กรุณานำข้อสอบมาทดสอบตั้งแต่สามทุ่มเมื่อคืน เริ่มแต่ฝันถึงอิสตรีมาเย้ายวนทั้งคืน จนนิมิตเห็นคูบาอาจารย์มาช่วยเหลือ รวมทั้งความง่วงเหงาหาวนอนด้วยที่รู้สึกว่าง่วงมากกว่าปกติ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าไปรับทานอาหารเย็น ดังนี้กระมังพระพุทธองค์จึงให้งดทานอาหารเย็น เพราะจิตจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ความง่วงก็ไปบ่มเพาะอาหารทำให้เกิดแก๊ส แล้วก็ไปเผาร่างกายทำให้เกิดความอ่อนเพลีย ง่วงเหงาหาวนอน ต้องนำเอาไปแก้ไขในวันถัดไป
วันนี้ต้องไปทำพิธีต้มยารักษาโรคมะเร็ง ที่อโรคยศาล วัดคำประมง เป็นการสงเคราะห์โลกตามคำอธิษฐานที่ให้ไว้ว่า ใครเกิดเป็นญาติพี่น้องสายบุญที่ทำร่วมกันมา เป็นสหชาติกันมา ขอให้มาชดใช้ตอบแทนบุญคุณกันซะไวๆ จะได้หมดหนี้เวรกรรมกัน แล้วเราก็จะได้ไปตามทางที่ฝันไว้ ออกจากวัดป่าหนองไผ่เวลา ๗ โมงเช้า เห็นเจ้ากระรอกดำกระโดดเกาะคาคบกิ่งไม้ส่งร้องส่งทางก่อนกลับ
ถึงวัดคำประมงประมาณแปดโมงกว่า หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดเครื่องของสำหรับพิธีต้มยาวันนี้เวลา ๐๙.๐๐ น. มีคนประเทศมาเลเซียมาต้มยารักษาโรคมะเร็งด้วย เขาทำงานเป็นเทคนิคเชี่ยนชื่อ Mr.Vui เป็นมะเร็งที่ปอดฉายแสงมาแล้วแต่เชื้อมะเร็งกระจาย ได้ข่าวทางอินเตอร์เน็ตเลยเดินทางจากมาเลเซียมาพบหลวงตาปพนพัชร์ จิรธัมโมที่กรุงเทพมหานคร แล้วเดินทางมาที่ อโรคยศาล วัดคำประมง Mr.vui คนนี้เป็นชาวต่างประเทศคนที่ ๓ ที่มารักษาตัว คนแรกเป็นคนลาว ชื่อ ท้าวพรหมา อยู่แขวงนครเวียงจันทร์ คนที่สอง ดร.เจคาน ชาวอังกฤษ เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยฟูกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น คนที่สามก็เป็น Mr.Vui นี้แหละ
รูปที่ ๒๖ หลวงตาปพนพัชร์ จิรธัมโม
Mr.Vui ผู้ป่วยมะเร็งจากประเทศมาเลเซีย
หลังจากทำพิธีต้มยาแล้วหลวงตาให้พากันนั่งกรรมฐาน ๙ นาที นิมิตเห็นตอไม้แห้งที่ตายแล้ว แต่ที่กลางตอไม้เห็นหัวคล้ายหัวหอมกำลังเริ่มแย้มเติบโต และเห็นเหวข้างล่างมีไฟนรกลุกโชน มีสะพานไม้พาดผ่านไฟนรกโชนขึ้นมาจนถึงสะพาน เลยบอกให้หลวงตาฟังว่า Mr.vui คงมีบุญจะเริ่มเกิดใหม่จากตอไม้แห้งที่ตายแล้วและให้ทำบุญเกี่ยวกับสะพานให้วัดด้วย
กลับจากวัดคำประมงมาที่วัดป่าหนองไผ่ เวลา ๒ ทุ่ม ก่อนมาแวะเติมน้ำมัน ๑๐๐๐ บาท เกือบเต็มถังสะใจมาก แต่ก่อนต้องง้อมัน แต่ตอนนี้ราคาถูกมากจะขับไปทั่วประเทศ(ราคาน้ำมันตอนนั้นลดลงลิตรละยี่สิบกว่า ๆแต่ตอนนี้มันขึ้นราคาอีกแล้ว ชาติหน้ามันจะลดราคาให้เรา) หลังจากจุดเทียนไขส่องทางเดินจงกรมแล้วเริ่มเดินจงกรมเวลาสองทุ่มยี่สิบนาที จนถึงสามทุ่ม ส่วนมากการเดินจงกรมจะเริ่มดังนี้ คือ
๑.ไหว้พระสวดมนต์ อธิษฐานจิตว่าจะเดินจงกรม ขอคารวะครูบาอาจารย์ เทพพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย
๒.อธิษฐานเดินจงกรม ว่าจะเดินเท่าใด หรือตามสมควร แล้วทำตามนั้น จะได้สัจจะบารมี
๓.เจริญพระคาถาเปิดโลก ว่า
อุ อู อะ อิ โอ อะ อิ อะ อิ โอ อิ อะ
อิ อะ โอ อิ อะ มะ อิ อะ
ขณะเดียวกันให้ก้าวท้าวเดินไปมาไม่ช้าไม่เร็วตามคาถาแต่ละตัวจะทำให้จิตรวมเป็นหนึ่ง จัดเป็นสมถะภาวนา จนได้เวลาสามทุ่มลงมาเอาป้านชาอาคารที่พักชาย เพื่อชงชาจีนจากเชียงราย วิธีการก็ง่าย ๆ เอาเชิงเทียนขนาดใหญ่ที่จุดหมดแล้วมาติดไฟ เอาเศษเทียนใส่ลงไป จากนั้นนำอิฐบล็อกมาวางขนาบข้าง เอาหม้อหางใส่น้ำแร่ที่ท่านพระอาจารย์สุธรรมต่อท่อมาจากบนเขาข้างกุฏิวางข้างบนอิฐบล็อกให้ถูกเปลวเทียน ไม่นานน้ำก็เดือดชงชารสชาติหอมกรุ่น ๆ จิบไป ๓ แก้ว กับแกล้มชาก็เอาความเหน็บหนาวของอากาศที่กำลังแผ่ความเย็นเยือกรอบตัวกับแสงเทียนต่างขนมหวาน คืนนี้ตั้งใจว่าจะนั่งกรรมฐานและเดินจงกรมทั้งคืนไม่รู้ว่าจะได้ขนาดไหน แต่เมื่อวานดูข่าวทีวีว่าจังหวัดสกลนครอากาศหนาว ๑๖ องศา ถูกผิดไม่แน่ใจ
เริ่มนั่งกรรมฐานที่ปลายทางเดินจงกรมหน้าเตาไฟทำจากเชิงเทียนเวลาสี่ทุ่มสี่สิบนาที จนถึงห้าทุ่มยี่สิบนาทียืนภาวนาเห็นภาพนิมิตเป็นเหมือนปราสาทราชวังซักครู่หนึ่งและมีเด็ก แต่น่าจะเป็นคนตัวเล็กมากกว่านุ่งผ้าไม่ใส่เสื้อผอม ๆ ขาว ๆ ซีด สงสัยวิญญาณมาขอบุญเลยอธิษฐานจิตแผ่บุญไปให้ แต่นิมิตแบบนี้ก็อย่าหลงสติ ต้องพิจารณาให้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เสมอ นั่งกรรมฐานต่อจนถึงหกทุ่มตรง เอนหลังลงนอนที่ทางเดินจงกรมใช้ผ้าเช็ดตัวที่ใช้ถูกพื้นกุฎิที่ไม่รู้ว่าใครซักไว้แล้วมาปูลงทางเดินจงกรม ตอนเอนหลังลงไปเจริญอาโปธาตุนิมิตเห็นลูกเป็ดน้อย ๒ – ๓ ตัวสีเขียวท้องเหลือง และหมาจิ้งจอกสีขาวหางเป็นพวง นิมิตแบบนี้ก็ต้องมีสติท่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เสมอ หลังจากนั้นนอนหลับไป รู้สึกจะมีเสียงบอกว่าฝึกกรรมฐานหลายอย่างเหลือเกินนะ คงหมายถึงเราท่องคำภาวนาหลายแบบ แต่จะเป็นอะไรก็ช่างเถิด ขอให้มีจิตสงบเป็นใช้ได้ พระพุทธองค์ยังทรงบอกไว้ตั้ง ๔๐ วิธี ใครถนัดหรือจริตเหมาะสมแบบใดก็ใช้อย่างนั้น คืนนี้ใช้กำปั้นหนุนแทนต่างหมอนอาจทรมานบ้างสำหรับผู้ยังไม่คุ้นเคย แต่สำหรับผู้ปฎิบัติธรรมแล้ว ต้องเริ่มให้ตนเองทุกข์ เพราะเป็นอริยสัจจ์ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พระพุทธองค์ไม่ได้ให้เริ่มที่สุข เพราะจะติดสุขและแก้ยากกว่าทุกข์เสียอีก นักปฎิบัติพึงระวังไว้อย่างมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น