เจ็ดธรรมราตรีเป็นบันทึกการไปปฎิบัติธรรมที่วัดป่าหนองไผ่ อำเภอเมือง จังหวัด สกลนคร
ของครูวรวิทย์ ตงศิริ ซึ่งปฎิบัติ ๗ วัน ๗ คืน การบันทึกเช่นนี้มีประโยชน์ต่อผู้บันทึกและต่อผู้อื่นด้วย ต่อผู้บันทึก คือเป็นการบันทึกว่าครั้งหนึ่งตนเองเคยทำอะไรมาบ้างมีประโยชน์ ต่อผู้อื่นคือผู้อื่นจะได้รู้ว่านักปฎิบัติธรรมเขาปฎิบัติอย่างไรโดยเฉพาะผู้ที่ไกลวัด, ห่างธรรมะแต่ยังใฝ่ดีอยู่ก็จะได้ความรู้เพิ่มขึ้น
บันทึกนี้น่าอ่านมากเพราะจะทำให้เรามีสติรู้ว่า ธรรมะคืออะไร, เราจะมีท่าทีต่อชีวิตอย่างไร ผู้บันทึกได้ยกหลักธรรมะมากล่าวหลายเรื่องเช่น คนเราเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องดับไปไม่มีใครจะหนีพ้นเรื่องเหล่านี้ได้เลย แต่ละคนมีเวลาอยู่ในโลกนี้ไม่มากนักเมื่อถึงเวลาแล้วก็ต้องจากไปสิ่งนี้คือความจริง คือปัญหาและความทุกข์ซึ่งทุกคนจะหลีกไม่ได้ เมื่อรู้ดังนี้แล้วแต่ละคนก็จะตัดสินใจเองว่าจะทำอย่างไรจะคิดแต่แสวงหาเงินทองวัตถุสิ่งของเท่านั้นหรือ ไม่คิดทำบุญบ้างหรือ ไม่คิดบริจาคและให้ทานบ้างหรือ คิดแต่วางแผนช่วงชิงอำนาจ,ผลประโยชน์เพื่อตนเองเท่านั้นหรือ
ทุกคืนผู้เขียนจะต้องนั่งภาวนา,เดินจงกรมและพิจารณาปัญหาธรรมะเพื่อความสงบสุขทางจิตใจและเพื่อความเจริญรุ่งเรืองทั้งในโลกนี้และโลกหน้า การนั่งภาวนาและเดินจงกรม ถ้าทำนานๆก็เหนื่อยและทำได้ยากเหมือนกัน จึงต้องอาศัยจิตใจที่มุ่งมั่นมีความเพียรเป็นเลิศซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง แต่ละวันผู้เขียนจะนิมิตบ่อยมากเดี๋ยวเห็นนั่นเดี๋ยวเห็นนี่โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆ ก็เห็นบ่อย ผู้เขียนพยายามตัดปัญหานี้และข่มปัญหานี้แต่คิดว่า ๗ ราตรียังน้อยเกินไป น่าจะมากซัก ๗ สัปดาห์ แต่ก็ยังดีกว่าอีกหลายคนที่หมกมุ่นลุ่มหลงแต่ในเรื่องทางโลกจนถอนตัวไม่ขึ้น เมื่อต้องพลัดพรากก็จะเจ็บปวด เมื่อผิดหวังก็จะทรมานและกลายเป็นความเดือดร้อน
ข้อคิดดีๆ ในบันทึกนี้มีมากมายถ้าค่อยๆ อ่านค่อยๆ พิจารณาก็จะเป็นประโยชน์มาก บทกวีที่แต่งก็ไพเราะจับใจเป็นการแต่งท่ามกลางความสงบและความร่มรื่นของธรรมชาติ เช่น ระบำชา หนาวกิเลส เป็นต้น
ชื่อหนังสือว่า เจ็ดธรรมราตรี ถ้าอ่านเพียงหน้าปกก็คงจะงงว่านี่เป็นเรื่องอะไร รู้สึกว่าชื่อนี้ออกนอกกรอบไปไกลค่อนข้างมากทีเดียว
สำหรับ ชาอู่หลงกับโกโก้ ถ้าจะมองว่าเป็น อสุภะ ก็น่าจะดีไม่น้อย
ณรงศักดิ์ ถีระวงษ์
นักวิชาการรัฐศาสตร์และการศึกษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น